May 3, 2025
อธิการบดีใหม่ ทรานส์ฟอร์มมหิดล 136 ปี
ในช่วงเวลาที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทในทุกมิติของชีวิต การศึกษาและการวิจัยก็ต้องก้าวให้ทัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคมและประชาชนคนไทย ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล คนใหม่ ผู้ซึ่งได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้นำมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่มีอายุถึง 136 ปี ได้มาแบ่งปันวิสัยทัศน์ กลยุทธ์ และทิศทางการพัฒนามหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อให้ตอบโจทย์ความท้าทายในยุคปัจจุบันและอนาคตอย่างแท้จริง
ความท้าทายของมหาวิทยาลัยไทยในยุคปัจจุบัน
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ศ.นพ.ปิยะมิตรหยิบยกขึ้นมาคือความท้าทายที่มหาวิทยาลัยไทยต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจำนวนประชากรที่ลดลงอย่างรวดเร็ว สังคมสูงวัยที่กำลังเป็นปัญหา เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเรียนการสอนและการวิจัย รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาและความร่วมมือระหว่างประเทศ
“โลกกำลังเปลี่ยนสี การเข้ามาของจีนในฐานะมหาอำนาจใหม่ ส่งผลกระทบต่อบริษัทสุขภาพและเครื่องมือแพทย์ รวมถึงเรื่องของสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว ซึ่งถ้าเราไม่ปรับตัวและไม่ตระหนักถึงผลกระทบเหล่านี้ เราจะล้าหลังและไม่สามารถแข่งขันได้ในอนาคต” ศ.นพ.ปิยะมิตรกล่าว
โจทย์หลักของมหาวิทยาลัยมหิดล: การเปลี่ยนแปลงเพื่อ Real World Impact
ในอดีตมหาวิทยาลัยมักมุ่งเน้นการขึ้นอันดับใน Academic Ranking หรือการตีพิมพ์งานวิจัยในวารสารระดับโลกเป็นหลัก แต่ศ.นพ.ปิยะมิตรเห็นว่าแนวทางนี้อาจไม่ตอบโจทย์ประชาชนคนไทยอย่างแท้จริง
“เราควรเปลี่ยนโจทย์จากการเป็น ‘Top Ranking University’ มาเป็นการสร้าง ‘Lead in Box’ หรือการสร้างผลกระทบที่จับต้องได้ต่อสังคมและประชาชน” เขาอธิบาย “งานวิจัยแต่ละชิ้นต้องคิดถึงผลลัพธ์ที่ประชาชนจะได้รับ ไม่ใช่แค่ตีพิมพ์เพื่อแสดงความสำเร็จ แต่ต้องทำให้งานวิจัยนั้นช่วยยกระดับสุขภาวะและคุณภาพชีวิตของคนไทยและประชากรโลก”
การวัดผลความสำเร็จใหม่: Health and Well-being as KPI
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ต้องมองหาตัวชี้วัดที่เหมาะสมกว่าเดิม ศ.นพ.ปิยะมิตรได้แนะนำแนวคิดการวัดผลแบบใหม่ที่เรียกว่า “Pro Bono Box” หรือการมุ่งเน้นให้เกิดสุขภาวะที่ดีในภาพรวมผ่าน 17 ข้อหลักที่ครอบคลุมเรื่องความยั่งยืน การอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นมิตร และการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี
“ถ้าเรามุ่งแต่ตัวชี้วัดเดิม ๆ อย่างจำนวนตีพิมพ์หรืออันดับมหาวิทยาลัยเพียงอย่างเดียว เราจะไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของประชาชนได้” ศ.นพ.ปิยะมิตรกล่าว “ดังนั้นเราต้องเปลี่ยนมุมมองและตั้งเป้าหมายใหม่ให้ชัดเจน”
วิสัยทัศน์และกลยุทธ์เพื่อการทรานส์ฟอร์มมหิดล
ศ.นพ.ปิยะมิตรได้วางกลยุทธ์หลักไว้ 4 ด้านที่เป็นแกนกลางของการพัฒนามหาวิทยาลัยมหิดลในช่วง 4 ปีข้างหน้า ได้แก่ งานวิจัยเพื่อสุขภาพที่ดี การผลิตบัณฑิตที่พร้อมรับใช้สังคม การบริการทางวิชาการ และความยั่งยืนของมหาวิทยาลัย
- งานวิจัยเพื่อสุขภาพที่ดี: มหาวิทยาลัยต้องมุ่งเน้นการทำวิจัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่การวิจัยเพื่อการตีพิมพ์ แต่ต้องเป็นงานวิจัยที่สร้างผลกระทบและนำไปใช้ได้จริงในโลกแห่งความเป็นจริง
- การศึกษาและผลิตบัณฑิต: มุ่งผลิตบัณฑิตที่มีคุณสมบัติครบถ้วน พร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานและบริการสังคม โดยเน้นการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียนและสังคมในยุคใหม่
- บริการทางวิชาการ: มหาวิทยาลัยมีโรงพยาบาลและศูนย์บริการสุขภาพที่ครอบคลุมถึง 8 แห่ง ซึ่งเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชนในหลาย ๆ ด้าน ทั้งการรักษาพยาบาลเฉพาะทางและการฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญ
- ความยั่งยืน: มุ่งเน้นสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีภายในมหาวิทยาลัย เช่น การใช้พลังงานอย่างเหมาะสม การจัดการขยะ และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อให้มหาวิทยาลัยสามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
กลยุทธ์เสริม 3 ด้าน เพื่อผลักดันยุทธศาสตร์หลัก
นอกจาก 4 ยุทธศาสตร์หลักแล้ว ยังมีกลยุทธ์เสริมอีก 3 ด้านที่ช่วยให้การพัฒนามหาวิทยาลัยประสบความสำเร็จได้เต็มศักยภาพ ได้แก่
- Synergy Research: การสร้างความร่วมมือและประสานงานระหว่างศาสตร์ต่าง ๆ เช่น วิทยาศาสตร์สุขภาพ เทคโนโลยี และสังคมศาสตร์ เพื่อสร้างงานวิจัยที่มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์จริง
- Empower Learners: การปรับรูปแบบการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับพฤติกรรมและความต้องการของนักศึกษาในยุคใหม่ โดยเน้นการฟังเสียงผู้เรียนและสร้างทางเลือกการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น เช่น การเรียนแบบ Micro Credential
- Amplified Operation: การปรับปรุงการบริหารจัดการ การจัดซื้อจัดจ้าง และการทำงานในมหาวิทยาลัยให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยผ่านการใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารที่เหมาะสม
การเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาและการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยมหิดล
ศ.นพ.ปิยะมิตรเน้นว่าแนวทางการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ทันกับโลกยุคใหม่ นักศึกษาปัจจุบันมีพฤติกรรมการเรียนรู้ที่แตกต่างจากอดีต มีเครื่องมือดิจิทัลอย่าง Google, ChatGPT ที่เข้ามาช่วยเสริมการเรียนรู้ ทำให้การเรียนการสอนในรูปแบบเดิมไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป
“เราต้องฟังเสียงของผู้เรียนอย่างจริงจัง เพื่อปรับหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการและความสนใจของพวกเขา” ศ.นพ.ปิยะมิตรกล่าว “ตัวอย่างเช่น ห้องสมุดแบบเดิมที่เน้นหนังสืออาจไม่เหมาะกับนักเรียนยุคนี้ พวกเขาต้องการพื้นที่ที่สามารถทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนและใช้เทคโนโลยีได้”
นอกจากนี้ แนวคิดการเรียนรู้แบบ Micro Credential หรือการเรียนรู้อย่างยืดหยุ่นเป็นโมเดลที่มหาวิทยาลัยมหิดลกำลังผลักดัน เพื่อให้นักศึกษาสามารถเรียนรู้เป็นหน่วยเล็ก ๆ ที่ตอบโจทย์อาชีพใหม่ ๆ ได้รวดเร็ว ไม่ต้องรอให้จบหลักสูตรเต็มรูปแบบ
Empower Learners: การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนควบคุมเส้นทางการศึกษา
การเปิดโอกาสให้นักศึกษาเลือกเรียนข้ามศาสตร์ หรือเรียนแบบผสมผสานระหว่างวิชาชีพต่าง ๆ เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ศ.นพ.ปิยะมิตรเน้นย้ำ เช่น การเปิดทางให้เภสัชกรเรียนเสริมเพื่อเป็นผู้ช่วยเภสัชกร หรือการเปิดหลักสูตรที่ยืดหยุ่นให้สามารถเรียนไปทำงานไปได้
“เราต้องให้สิทธิ์นักศึกษาในการเลือกเส้นทางของตัวเอง และสนับสนุนให้พวกเขาเรียนรู้ด้วยใจและเป้าหมายที่ชัดเจน ไม่ใช่แค่เรียนเพื่อให้จบหรือได้ปริญญา” อธิการบดีมหิดลกล่าว
การวิจัยและพัฒนาที่ตอบโจทย์สังคมและเศรษฐกิจไทย
มหาวิทยาลัยมหิดลมีความโดดเด่นในด้านงานวิจัยทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ แต่ศ.นพ.ปิยะมิตรชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยยังมีข้อจำกัดในการเปลี่ยนงานวิจัยให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถเข้าสู่ตลาดได้จริง
“เรามีงานวิจัยที่ประสบความสำเร็จจำนวนมาก แต่ขั้นตอนการนำไปสู่การขึ้นทะเบียน การทดลอง และการขายในตลาดยังเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก” เขากล่าว “ต้องมีการสร้างระบบสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษา ภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อให้การวิจัยสามารถนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นรูปธรรม”
ตัวอย่างความสำเร็จและความท้าทายของงานวิจัย
- การคิดค้นเซลล์บำบัดที่สามารถตัดต่อเซลล์เพื่อรักษาโรคมะเร็งได้สำเร็จ แต่ยังไม่สามารถเข้าสู่ตลาดได้เนื่องจากขั้นตอนการขึ้นทะเบียนที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลานาน
- ความพยายามในการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ของไทยที่ทำได้จริงแต่ช้าเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากโครงสร้างและระบบสนับสนุนที่ยังไม่พร้อม
- การลงทุนมหาศาลในการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น หุ่นยนต์ผ่าตัดและเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัยมาใช้ในโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย เพื่อให้บริการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพสูงสุด
การบริการทางวิชาการและโรงพยาบาลในเครือมหาวิทยาลัยมหิดล
มหาวิทยาลัยมหิดลมีโรงพยาบาลในเครือถึง 8 แห่ง เป็นศูนย์กลางการรักษาพยาบาลที่สำคัญของประเทศ โดยเฉพาะในด้านการรักษาโรคซับซ้อนและการฝึกอบรมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
“โรงพยาบาลของเราถือเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชนหลายราย โดยเฉพาะในกรณีที่โรงพยาบาลเอกชนไม่สามารถรักษาได้” ศ.นพ.ปิยะมิตรกล่าว “เราลงทุนในเทคโนโลยีและบุคลากรอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพสูงสุด”
นอกจากนี้ ยังมีการบริการทางวิชาการในรูปแบบของการทำวิจัยร่วมกับภาคเอกชนและรัฐ เพื่อให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ
การปรับตัวของมหาวิทยาลัยในยุคดิจิทัลและเทคโนโลยี AI
ศ.นพ.ปิยะมิตรเน้นย้ำถึงความสำคัญของการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาใช้ในการเรียนการสอน การวิจัย และการบริหารจัดการมหาวิทยาลัย
“ในยุคนี้ หากเราไม่ปรับตัวและไม่ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ เราจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” เขากล่าว “เราต้องสอนนักศึกษาให้รู้จักการใช้เทคโนโลยีอย่างมีวิจารณญาณ เช่น การใช้ AI อย่างถูกต้องและระมัดระวัง ทั้งในการเรียนและการทำงาน”
มหาวิทยาลัยมหิดลจึงมุ่งมั่นที่จะปรับเปลี่ยนหลักสูตร และส่งเสริมการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์พฤติกรรมของคนยุคใหม่ รวมถึงการสร้างแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์และการใช้เทคโนโลยีเสริมการศึกษาอย่างเต็มที่
การเปลี่ยนแปลงนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาวะที่ดีของประชาชน
อีกหนึ่งบทบาทสำคัญของมหาวิทยาลัยมหิดลคือการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชน
“เราต้องไม่เพียงแค่รักษาผู้ป่วย แต่ต้องทำงานเชิงรุกในการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เช่น อุบัติเหตุทางถนนที่ประเทศไทยติดอันดับต้น ๆ ของโลก” ศ.นพ.ปิยะมิตรกล่าว “เราต้องทำวิจัยเพื่อหาสาเหตุและเสนอแนวทางแก้ปัญหา ทั้งในเรื่องของพฤติกรรมคนขับรถ ถนน และกฎหมายจราจร”
มหาวิทยาลัยมหิดลได้เข้าไปมีบทบาทในเวทีนโยบายสาธารณะ เช่น การต่อต้านบุหรี่ไฟฟ้าที่กำลังเป็นปัญหาในกลุ่มวัยรุ่น และการส่งเสริมการลดโซเดียมในอาหารเพื่อป้องกันโรคเรื้อรัง
ความสำคัญของผู้นำและการสื่อสารในการบริหารมหาวิทยาลัย
ศ.นพ.ปิยะมิตรให้ความสำคัญกับบทบาทของผู้นำที่ต้องมีการวางเป้าหมายที่ชัดเจนและสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพไปยังทุกระดับภายในมหาวิทยาลัย
“ผู้นำต้องเปิดกว้าง รับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย และทำงานร่วมกันอย่างเป็นทีม เพื่อให้เป้าหมายของมหาวิทยาลัยเกิดขึ้นจริง” เขากล่าว “การสื่อสารที่ดีเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ทุกคนเข้าใจและเดินไปในทิศทางเดียวกัน”
นอกจากนี้ การเปิดโอกาสให้นักศึกษาและบุคลากรได้แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาและกล้าพูดในสิ่งที่คิด ถือเป็นสิ่งที่มหาวิทยาลัยควรส่งเสริม เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาอย่างแท้จริง
อุปสรรคและข้อจำกัดในการพัฒนา: ระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างและความร่วมมือภายนอก
หนึ่งในความท้าทายที่สำคัญคือระบบระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐที่มีความซับซ้อนและล่าช้า ส่งผลให้การพัฒนาโครงการและการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ ภายในมหาวิทยาลัยต้องเผชิญกับอุปสรรค
“ระเบียบเดิมที่ต้องการความโปร่งใสทำให้เกิดความล่าช้าและบางครั้งไม่เหมาะสมกับสถานการณ์จริง” ศ.นพ.ปิยะมิตรกล่าว “เรากำลังพยายามเจรจาและปรับปรุงระบบนี้ เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพและรวดเร็วขึ้น”
นอกจากนี้ การสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนและองค์กรอื่น ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเพิ่มศักยภาพการวิจัยและการพัฒนาให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
บทสรุป: ทิศทางใหม่ของมหาวิทยาลัยมหิดลเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
มหาวิทยาลัยมหิดลภายใต้การนำของศ.นพ.ปิยะมิตร กำลังเดินหน้าสู่การเป็น “ปัญญาของแผ่นดิน” ที่ไม่เพียงแค่ผลิตบัณฑิตหรือผลงานวิจัยที่โดดเด่นในเชิงวิชาการ แต่ยังมุ่งเน้นการสร้างผลกระทบที่จับต้องได้ในสังคมและสุขภาวะของประชาชน
ด้วยกลยุทธ์ที่ชัดเจนทั้งในด้านงานวิจัย การศึกษา การบริการทางวิชาการ และความยั่งยืน รวมถึงการปรับตัวต่อเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงของโลก ศ.นพ.ปิยะมิตรตั้งเป้าหมายที่จะทำให้มหาวิทยาลัยมหิดลก้าวสู่การเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำที่ตอบโจทย์ยุค 2025 และอนาคต
“เราต้องเป็นหัวหอกของความคิดและการแก้ไขปัญหา เพื่อสร้างสุขภาวะที่ดีและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับประชาชน” อธิการบดีมหิดลกล่าวทิ้งท้าย “และทุกคนในมหาวิทยาลัยต้องเดินไปในทิศทางเดียวกันเพื่อความสำเร็จนี้”
คำแนะนำสำหรับผู้นำและผู้สนใจในวงการศึกษาและวิจัย
จากประสบการณ์และวิสัยทัศน์ของศ.นพ.ปิยะมิตร สิ่งที่ผู้นำในภาคการศึกษาและวิจัยควรตระหนักคือ
- การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพเป็นกุญแจสำคัญในการนำองค์กรขนาดใหญ่ไปสู่ความสำเร็จ
- การเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นและส่งเสริมวัฒนธรรมการพูดความจริง จะช่วยให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน
- ต้องพร้อมปรับตัวและใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างมีวิจารณญาณเพื่อให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
- การสร้างความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษา ภาครัฐ และภาคเอกชน เป็นปัจจัยสำคัญในการแปลงงานวิจัยเป็นผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์สังคม
- ต้องตระหนักถึงบทบาทของมหาวิทยาลัยในฐานะ “ปัญญาของแผ่นดิน” ที่ต้องใช้ความรู้และทรัพยากรเพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ
เชิญชวนร่วมติดตามและสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคตของการศึกษาไทย
มหาวิทยาลัยมหิดลในยุคใหม่กำลังเปิดรับความร่วมมือและการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ทั้งผู้บริหาร นักวิจัย นักศึกษา และประชาชน เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่ดีกว่าเดิม
“หากเราทุกคนช่วยกัน ผลักดัน และสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่ว่าจะเป็นการวิจัย การศึกษา หรือการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ เราจะสามารถสร้างสุขภาวะที่ดีและสังคมที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไปได้” ศ.นพ.ปิยะมิตรกล่าวอย่างมั่นใจ
สำหรับผู้ที่สนใจติดตามเรื่องราวและแรงบันดาลใจจากผู้นำการเปลี่ยนแปลงในวงการศึกษาไทย สามารถติดตามรายการและช่องทางต่าง ๆ เพื่อรับฟังข้อมูลเชิงลึกและแนวคิดใหม่ ๆ ที่จะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคตที่สดใส