ดอลลาร์ใกล้พัง!! AI เป็นแผนใหม่ค้ำเศรษฐกิจ!

ในบทความนี้ผมขอสรุปและขยายความจากการสนทนาในวิดีโอของช่อง DBซัวเถา ที่พูดคุยกับคุณสุวัฒน์ สินสาฎก เกี่ยวกับสถานการณ์ของเงินดอลลาร์สหรัฐ การเปลี่ยนแปลงของระบบการเงินโลก และยุทธศาสตร์ของสหรัฐที่พยายามสร้างฐานใหม่เพื่อค้ำเศรษฐกิจในยามที่อำนาจของดอลลาร์กำลังถูกท้าทาย โดยผมจะอธิบายทีละประเด็นอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่รากเหตุของความยิ่งใหญ่ของดอลลาร์ มาจนถึงเครื่องมือใหม่ ๆ อย่าง Stablecoin และกฎหมายที่เตรียมรองรับ พร้อมข้อสรุปเชิงกลยุทธ์สำหรับนักลงทุนและผู้ติดตามเรื่องเศรษฐกิจโลก

บทนำ: ทำไมเรื่องดอลลาร์ถึงสำคัญต่อโลก?

ดอลลาร์สหรัฐไม่ใช่แค่สกุลเงินที่เราใช้กันในธุรกรรมระหว่างประเทศ แต่มันคือ "เครื่องจักรอำนาจ" ของสหรัฐในรอบ 70 ปีที่ผ่านมา เมื่อสกุลเงินหนึ่งกลายเป็นสกุลเงินสำรองโลก ความสามารถของประเทศผู้นำสกุลเงินนั้นก็สูงขึ้นอย่างมหาศาล — ประเทศนั้นสามารถกู้ยืม พิมพ์เงิน และขยับนโยบายการเงินโดยมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลกได้มากกว่าปกติ

แต่ปัจจุบันมีสัญญาณว่า "Demand" หรือความต้องการดอลลาร์กำลังเปลี่ยนแปลง และมีแรงกดดันจากหลายฝ่ายที่พยายามลดการพึ่งพาดอลลาร์ (de-dollarization) ซึ่งถ้าทำสำเร็จในระดับหนึ่ง ผลกระทบจะลึกซึ้งต่ออำนาจของสหรัฐและระบบการเงินโลก

หลักการสำคัญ: ทำไมดอลลาร์ถึงยิ่งใหญ่?

เพื่อเข้าใจการเปลี่ยนแปลง เราต้องย้อนกลับไปดูว่าเหตุใดดอลลาร์ถึงครองตำแหน่งนี้ได้ถึง 70 ปี โดยสรุปแล้วมีปัจจัยหลักสามข้อที่สร้าง "Demand for Dollar":

  • ความสัมพันธ์กับการค้าโลก: สหรัฐเป็นคู่ค้ารายใหญ่มาตลอด ทำให้การทำธุรกรรมระหว่างประเทศหลายส่วนต้องใช้ดอลลาร์
  • พลังงาน (Petrodollar): ข้อตกลงพลังงานในอดีตทำให้การซื้อขายน้ำมันส่วนใหญ่ใช้สกุลดอลลาร์ ซึ่งสร้างความต้องการดอลลาร์ในตลาดพลังงานโลก
  • ระบบเงินสำรองและพันธบัตร: ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ นำดอลลาร์หรือพันธบัตรสหรัฐมาเป็นสินทรัพย์ค้ำประกัน (reserve asset) ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้ดอลลาร์มากขึ้น

เมื่อสกุลเงินไม่ผูกกับทองคำหลังยุคล่มเบรตตัน วูดส์ (Bretton Woods) ในปี 1973 สหรัฐใช้ "เครดิต" และระบบการเมืองการค้าเพื่อสร้าง demand ให้ดอลลาร์ขึ้นมาแทนทองคำ ดังนั้นดอลลาร์จึงมีลักษณะพิเศษ คือไม่ได้ถูกผูกไว้กับทองคำ แต่ถูกยอมรับเพราะความต้องการใช้งานจริงในโลกการค้าและการเงิน

สถิติสำคัญที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลง: สัดส่วนเงินสำรองโลก

หนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญคือส่วนแบ่งของดอลลาร์ในการถือครองเงินสำรองของธนาคารกลางทั่วโลก เมื่อประมาณ 20-30 ปีก่อน ดอลลาร์ครองสัดส่วนมากถึง 71% ของสำรองต่างประเทศ แต่ปัจจุบันตัวเลขนี้ลดลงเหลือประมาณ 43% การลดลงนี้สะท้อนกระแสการกระจายสำรองไปยังสกุลอื่น ๆ และสินทรัพย์อื่น เช่น ทองคำ ยูโร หยวน และสเตเบิลคอยน์บางประเภท

เหตุผลหลักของการลดลงคือ:

  • การเกิดของสกุลเงินใหม่และบล็อกการค้าใหม่ เช่น ยูโรที่เข้ามาแทนที่ส่วนหนึ่ง
  • การเพิ่มขึ้นของทองคำที่มีการถือครองมากขึ้นโดยธนาคารกลาง
  • การกระจายการถือครองไปยังสกุลอื่น เช่น หยวนของจีน
  • สุดท้ายคือการเกิดเครื่องมือการเงินใหม่ ๆ อย่าง Stablecoin ที่ใช้ดอลลาร์เป็นฐาน แต่ในรูปแบบดิจิทัล

De-Dollarization: ขายพันธบัตรสหรัฐและผลทางการเงิน

การที่บางประเทศเริ่มขายดอลลาร์หรือพันธบัตรสหรัฐออกนั้นมีผลกระทบหลายด้าน โดยเฉพาะเมื่อเกิดการขายในปริมาณมากและรวดเร็ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือ:

  1. ราคาพันธบัตรสหรัฐตก ส่งผลให้ผลตอบแทน (Yield) ขึ้น
  2. เมื่อ Yield ขึ้น ต้นทุนการกู้ยืมของสหรัฐก็สูงขึ้น และภาระดอกเบี้ยของหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นตาม
  3. หากไม่มีผู้ซื้อทดแทนเพียงพอ ราคาพันธบัตรจะลดอย่างมาก ซึ่งกระทบต่อดอลลาร์และเสถียรภาพทางการเงิน

ผู้พูดในวิดีโอชี้ให้เห็นว่ามีหลายประเทศขายพันธบัตรและดอลลาร์ออก เช่น จีน บราซิล อินเดีย ตุรกี เป็นต้น หากประเทศเหล่านี้รวมกันเทขาย จะสร้างแรงกดดันต่อสหรัฐมากขึ้น แต่ในทางกลับกันก็มีฝั่งที่พยายามซื้อเข้ามาพยุงดอลลาร์ ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า "ห้าชาตินี้มาซื้อ" ที่พูดถึงในบทสนทนา

ใครเป็นผู้ซื้อที่พยุงดอลลาร์?

เมื่อมีแรงขายเกิดขึ้น จะมีแรงซื้อจากหลายแหล่งเพื่อพยุงตลาด เช่น ธนาคารกลางของพวกประเทศในกลุ่มที่เกี่ยวข้อง บริษัทข้ามชาติที่ต้องบริหารสกุลเงินสำรอง ผู้ลงทุนสถาบัน รวมถึงรัฐบาลของประเทศที่มีพันธะผูกพันต่อระบบเงินสากล

บทสนทนาชี้ว่าในช่วงที่ดอลลาร์อ่อน หน่วยงานและประเทศต่าง ๆ ต้องเร่งมาซื้อดอลลาร์เพื่อหยุดยั้งการร่วงลงของดัชนีดอลลาร์ (Dollar Index) เพราะถ้าต่ำกว่า 90 ผลกระทบต่อระบบการเงินโลกจะรุนแรง

ทำไมสหรัฐอาจไม่สามารถลดดอกเบี้ยได้มากนัก?

ประเด็นที่ถูกย้ำในการสนทนาคือ ศักยภาพของเฟดในการลดดอกเบี้ยถูกจำกัด เหตุผลสำคัญได้แก่:

  • ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอยู่ในระดับที่สูงกว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมา (ผู้พูดอ้างว่าอยู่ประมาณ 4% ขึ้นไป)
  • หากลดดอกเบี้ยมากเกินไป ดอลลาร์จะแข็งค่าลดลง ซึ่งสหรัฐไม่ต้องการนักเพราะดอลลาร์อ่อนจะกระทบต่อภาระหนี้และความเชื่อมั่น
  • เศรษฐกิจสหรัฐเองยังมีตัวแปรที่ต้องคำนึง เช่น ภาษีนำเข้า นโยบายการคลัง และภาระหนี้ขนาดมหาศาล (ผู้พูดอ้างจำนวนหนี้สหรัฐประมาณ 37.5 ล้านล้านดอลลาร์)
  • การลดดอกเบี้ยแบบกว้าง ๆ อาจทำให้เกิดแรงซื้อสินทรัพย์เสี่ยง (เงินทุนไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้น) แต่ในระยะสั้นการลดอาจไม่ช่วยหาก Demand สำหรับดอลลาร์ในระดับสำรองยังตก

กล่าวคือ เฟดอาจมี "พื้นที่" ในการลดดอกเบี้ยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น — ผู้พูดคาดการณ์ว่าจะลดได้สูงสุดราว ๆ 0.5–1% จากระดับปัจจุบันเท่านั้น

ทรัมป์และยุทธศาสตร์ใหม่: สงคราม–AI–พลังงาน

หนึ่งในหัวข้อที่น่าสนใจมากคือการวิเคราะห์ทิศทางนโยบายของทรัมป์ ซึ่งตามมุมมองที่นำเสนอในวิดีโอคือ สหรัฐอาจเลือกใช้ "สงคราม" และ "AI" เป็นเครื่องมือผสานเพื่อค้ำเศรษฐกิจ เมื่อดอลลาร์เผชิญแรงกดดัน สหรัฐอาจไม่พึ่งพาการลดดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว แต่จะใช้มาตรการเชิงนโยบายและเชิงอำนาจเพื่อสร้าง demand ทางเศรษฐกิจใหม่

  • สงคราม (Military/Geopolitical Pressure): การใช้ความสัมพันธ์เชิงอำนาจและพันธมิตรเพื่อบังคับให้ประเทศต่าง ๆ จ่ายหรือค้าขายในรูปแบบที่สร้าง demand สำหรับดอลลาร์ เช่น การบังคับให้ซื้อพลังงานเป็นดอลลาร์ การจัดตั้งข้อตกลงทางการค้าที่เชื่อมโยงกับดอลลาร์
  • AI และเทคโนโลยี: การผลักดัน AI เป็นกลไกกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างมูลค่าตลาดหุ้น เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์และบริการ ส่งผลให้มี demand สำหรับสินทรัพย์สหรัฐมากขึ้น
  • พลังงาน: สหรัฐมีบทบาทในการผลิตพลังงานโลกมากขึ้น โดยเฉพาะ LNG และน้ำมันบางส่วน ซึ่งสามารถใช้เป็นเครื่องมือสร้างแรงซื้อดอลลาร์

การนำ 3 ปัจจัยนี้มารวมกัน (การควบคุมพลังงาน + สงคราม/การเมือง + เทคโนโลยี/AI) จะช่วยสร้างแรงซื้อและใช้ดอลลาร์ในระบบเศรษฐกิจโลกได้ ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ระยะยาวของสหรัฐเพื่อชดเชยแรงกดดันจากการถูก de-dollarize

Stablecoin, กฎหมายใหม่ และการออกแบบสกุลเงินดิจิทัลของสหรัฐ

อีกประเด็นสำคัญที่ผู้พูดเน้นคือการพัฒนา Stablecoin ที่ผูกกับดอลลาร์ และการออกกฎหมายสนับสนุนให้ Stablecoin สามารถถูกใช้เป็นเงินสำรองหรือเป็นเครื่องมือชำระเงินจริงได้ นี่คือจุดเปลี่ยนที่อาจพลิกเกมทางการเงินได้

แนวคิดสรุปได้ดังนี้:

  • Stablecoin ที่ "ข้างหลัง" เป็นดอลลาร์หรือพันธบัตรสหรัฐ จะช่วยสร้าง demand สำหรับดอลลาร์ในรูปแบบดิจิทัล
  • การออกกฎหมายที่รับรอง Stablecoin เป็นเงินชำระหรือเป็นเงินสำรองตามกฎหมาย (ผู้พูดเรียกว่า Genius Act หรือ Intelligent Act) จะทำให้สถาบันการเงินและกองทุนขนาดใหญ่สามารถถือครองและใช้ Stablecoin เหล่านี้ได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย
  • เมื่อ Stablecoin ถูกยอมรับเป็น "เงิน" ในระบบกฎหมาย ก็จะกลายเป็นช่องทางชำระเงินและ settlement system ใหม่ ที่อาจทำหน้าที่แทนหรือเป็นทางเลือกแทน SWIFT

การออกกฎหมายและการยอมรับเช่นนี้จะทำให้สหรัฐสามารถ "เปลี่ยนรูป" ของพันธบัตรและเงินสำรองในรูปแบบดิจิทัล ซึ่งอาจเป็นวิธีการสร้าง demand ดอลลาร์ที่ยั่งยืนกว่าและยืดหยุ่นกว่าเดิม

Stablecoin กับ SWIFT-CIPS: การแข่งขันระบบชำระเงินระหว่างประเทศ

ระบบ SWIFT เป็นเครือข่ายสื่อสารการเงินที่ใช้อย่างแพร่หลาย แต่จีนมีระบบ C-IPS ของตนเองและหลายประเทศกำลังพัฒนาระบบทางเลือก สหรัฐเองอาจเลือกวิธีผลักดัน Stablecoin ที่มีสถานะทางกฎหมายให้กลายเป็น "ระบบชำระเงินทางเลือก" ที่ผูกเข้ากับดอลลาร์ดิจิทัล

นั่นหมายความว่า สหรัฐไม่ได้พึ่งพา SWIFT เพียงอย่างเดียว แต่กำลังพยายามสร้างระบบชำระเงินใหม่ที่สามารถควบคุมและรักษาอิทธิพลของดอลลาร์ได้ผ่านเทคโนโลยีและกฎหมาย

ทำไมหยวนยังมาแทนดอลลาร์ไม่ได้ง่าย ๆ?

หลายคนคงสงสัยว่าทำไมหยวนของจีนถึงไม่สามารถขึ้นมาทดแทนดอลลาร์ได้ทันที คำตอบหลักคือการควบคุมของรัฐบนสกุลเงินของจีนเอง:

  • หยวนยังถูกคุมเข้มโดยนโยบายการเงินของรัฐบาลและธนาคารกลางจีน
  • การเปิดเสรีทางเงินของจีนยังมีข้อจำกัดด้านการไหลของเงินทุนข้ามพรมแดน
  • ธนาคารกลางหรือองค์กรของจีนไม่สามารถให้ความยืดหยุ่นแบบเดียวกับดอลลาร์ที่เกิดจากการยอมรับกันเองในตลาดโลก

ดังนั้น แม้ว่าจีนจะพยายามผลักดันหยวนเพิ่มการใช้งานในระดับนานาชาติ แต่การขึ้นมาแทนดอลลาร์จะต้องใช้เวลา การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจ การเปิดตลาดทุน และความเชื่อมั่นระดับโลก ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายหรือเร็ว

การผสมผสานของเครื่องมือสหรัฐ: 4 แกนหลักที่รักษาดอลลาร์

ผู้พูดสรุปว่าปัจจุบันสหรัฐมีเครื่องมือ 4 ประการที่ใช้ประคองดอลลาร์ได้ ได้แก่:

  1. Demand จากการค้า (Trade)
  2. Demand จากพลังงาน (Energy และ Petrodollar)
  3. Demand จากพันธบัตรและเงินสำรอง (Treasuries เป็นสินทรัพย์ค้ำประกัน)
  4. การสร้างระบบดิจิทัลใหม่ (Stablecoin และกฎหมายรองรับ)

เมื่อเอาทั้ง 4 ข้อนี้มารวมกัน สหรัฐยังพอมีช่องทางในการควบคุมหรือชะลอการสั่นคลอนของดอลลาร์ แต่ต้องทำงานสอดประสานทั้งเชิงนโยบาย การทูต และเทคโนโลยี

ตลาดหุ้นและผลต่อดอลลาร์: ทำไมหุ้นสหรัฐก็มีบทบาท?

อีกตัวแปรที่ไม่ควรมองข้ามคือขนาดมูลค่าตลาดหุ้นของสหรัฐ ซึ่งส่งผลต่อ demand ดอลลาร์ได้เช่นกัน เมื่อมูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐโตขึ้น มันดึงดูดเงินทุนจากทั่วโลกให้ไหลเข้ามาอยู่ในดอลลาร์เพื่อซื้อหุ้นเหล่านั้น

ยกตัวอย่าง สมมติว่ามูลค่าตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนหลายล้านล้านดอลลาร์ เงินทุนที่เข้าไปซื้อหุ้นเหล่านี้ต้องแลกเป็นดอลลาร์ก่อน ดังนั้นตลาดหุ้นที่แข็งจึงเป็นอีกหนึ่งกลไกที่ช่วยสร้าง demand ให้ดอลลาร์

หากดอลลาร์อ่อน: ใครบรรเทาผลกระทบบ้าง?

ถ้าดอลลาร์อ่อนแรงจริง จะมีแรงกระทบกระจายไปยังหลายฝั่ง:

  • สหรัฐเอง: ภาระหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรขึ้น และอาจกระทบต่อความสามารถของนโยบายการคลัง
  • ประเทศที่ถือดอลลาร์เป็นสำรอง: มูลค่าสินทรัพย์สำรองตกลง ธนาคารกลางอาจต้องใช้มาตรการบริหารความเสี่ยง
  • บริษัทข้ามชาติ: บริษัทที่ผูกค่าใช้จ่ายเป็นดอลลาร์อาจได้ประโยชน์หากรายได้เป็นสกุลท้องถิ่น แต่บริษัทที่ถือหนี้ดอลลาร์จะถูกกระทบ
  • นักลงทุน: ต้องปรับกลยุทธ์ hedge ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

กลยุทธ์ของประเทศที่ต้องการ De-Dollarize

หลายประเทศพยายามลดการพึ่งพาดอลลาร์ผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น:

  • ขายพันธบัตรสหรัฐและผสมพอร์ตสำรองด้วยทองคำและสกุลอื่น
  • ทำข้อตกลงการค้าด้วยสกุลท้องถิ่นหรือหยวน
  • พัฒนาระบบชำระเงินของตัวเอง (เช่น C-IPS ของจีน)
  • ลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่ผูกกับดอลลาร์ เช่น ทองคำและสินทรัพย์จริง

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงต้องการเวลาและทรัพยากร เนื่องจากระบบการเงินสากลมีความลึกและซับซ้อน

สถานการณ์ปัจจุบัน: ดัชนีดอลลาร์และความอ่อนไหวของตลาด

ผู้พูดระบุว่า ดัชนีดอลลาร์ (Dollar Index) เคยอยู่ระดับสูงมากก่อนการกลับมาของบางนโยบาย และตอนนี้ลดลงมาอยู่แถว ๆ 96 หากตกต่ำลงไปต่ำกว่า 90 ผลกระทบจะหนักหน่วง ส่วนหนึ่งเพราะหากดอลลาร์อ่อน ค่าเงินอื่นจะเทียบเป็นสกุลที่แข็งขึ้นและมีผลต่อการค้าและเงินทุนข้ามพรมแดน

นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นว่าในช่วงบางช่วง ธนาคารกลางบางชาติและกองทุนใหญ่มาก ๆ ได้ร่วมกันซื้อเข้ามาพยุงดอลลาร์ ซึ่งช่วยชะลอการอ่อนค่าของดอลลาร์ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ไม่แน่ว่าจะยืดยาวหรือไม่ เพราะพื้นฐานเชิงโครงสร้างกำลังเปลี่ยน

ข้อสังเกตเชิงวิเคราะห์: ประเด็นที่ควรจับตา

จากการสนทนา ผมขอสรุปประเด็นเชิงวิเคราะห์ที่ควรติดตามอย่างใกล้ชิด:

  1. การเคลื่อนไหวของธนาคารกลางใหญ่: สัดส่วนสำรองของดอลลาร์ในบัญชีของธนาคารกลางต่าง ๆ จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญ ถ้ามีการลดสัดส่วนอย่างรวดเร็ว จะกระทบตลาดพันธบัตรและค่าเงิน
  2. การออกกฎหมายของสหรัฐต่อ Stablecoin: หากสหรัฐออกกฎหมายรับรอง Stablecoin เป็นเงินสำรองได้จริง จะเปลี่ยนรูปแบบ demand ของดอลลาร์ในรูปดิจิทัลอย่างมาก
  3. นโยบายพลังงานของสหรัฐ: ความสามารถในการใช้พลังงานเป็นเครื่องมือทางการเมือง (เช่น การบังคับให้ประเทศซื้อพลังงานเป็นดอลลาร์) จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่สร้าง demand
  4. การพัฒนาระบบชำระเงินระหว่างประเทศ: หากระบบใหม่ (ทั้งจากจีนและจากสหรัฐในรูป Stablecoin) ถูกนำมาใช้ในวงกว้าง จะเปลี่ยนสมดุลของการชำระเงินระหว่างประเทศ
  5. ตลาดหุ้นสหรัฐ: หากหุ้นยังคงแข็งแรง จะดึงเงินทุนจากทั่วโลก แต่ถ้าตลาดหุ้นร่วง ก็จะลด demand สำหรับดอลลาร์

คำแนะนำเชิงกลยุทธ์สำหรับนักลงทุนและผู้สนใจเศรษฐกิจ

จากการวิเคราะห์ข้างต้น นี่คือข้อเสนอเชิงปฏิบัติสำหรับนักลงทุนและผู้ติดตามเศรษฐกิจโลก:

  • กระจายความเสี่ยงทางสกุลเงิน: หากคุณถือสินทรัพย์ในสกุลดอลลาร์มาก ควรพิจารณาการ Hedging หรือกระจายไปยังสินทรัพย์อื่น เช่น ทองคำ หรือสกุลเงินที่มีพื้นฐานมั่นคง
  • ติดตามกฎหมายและนโยบาย Stablecoin: โอกาสทางการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลอาจเปิดกว้างขึ้นหากกฎหมายของสหรัฐรองรับ Stablecoin เป็นเงินสำรอง
  • พิจารณาผลกระทบจากพลังงาน: บริษัทด้านพลังงาน การขนส่ง และผู้ที่รับชำระค่าสินค้าระหว่างประเทศ จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงวิธีการซื้อขายพลังงาน—นักลงทุนควรติดตาม
  • สำรองสินทรัพย์ที่ป้องกันเงินเฟ้อ: ทองคำและสินทรัพย์จริงอื่น ๆ ยังคงเป็นทางเลือกสำหรับป้องกันความเสี่ยงจากการอ่อนค่าของสกุลเงินหลัก
  • ติดตามนโยบายจีนและ EU: หากจีนผ่อนคลายนโยบายเงินทุนหรือ EU มีการเคลื่อนไหวร่วมกัน อาจเปลี่ยนสมดุลการถือครองเงินสำรอง

สถานการณ์สมมติ (Scenarios): ทางเลือกของโลกใน 2–5 ปีหน้า

เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น ผมขอวาด 3 สถานการณ์ที่เป็นไปได้ในช่วงกลางถึงยาว:

สถานการณ์ที่ 1: สหรัฐชนะเกม (ฐานดอลลาร์แข็งและ Stablecoin สำเร็จ)

ในกรณีนี้ สหรัฐสามารถผลักดัน Stablecoin ให้ได้รับการยอมรับในระดับสากลและร่วมกับการใช้พลังงานเป็นเครื่องมือทางการเมือง สร้าง demand ได้เพียงพอ ดอลลาร์จะยังคงสถานะเป็นสกุลเงินสำรองหลัก ตลาดพันธบัตรยังมีผู้ซื้อเพียงพอ และสหรัฐสามารถคุมเสถียรภาพได้ ความเสี่ยงสำคัญคือความตึงเครียดทางการเมืองและการตอบโต้จากคู่แข่งเช่นจีน

สถานการณ์ที่ 2: การกระจายอำนาจ (De-Dollarization ค่อยเป็นค่อยไป)

ในกรณีนี้ การเปลี่ยนแปลงเป็นไปแบบค่อยเป็นค่อยไป หลายประเทศค่อย ๆ ลดการถือดอลลาร์และเพิ่มสกุลอื่น ทองคำและสกุลท้องถิ่นเพิ่มบทบาท ดัชนีดอลลาร์ลดลง แต่ระบบการเงินโลกปรับตัวได้โดยไม่เกิดวิกฤตใหญ่ สหรัฐยังรักษาบทบาทสำคัญ แต่ต้องยืดหยุ่นมากขึ้นทางนโยบาย

สถานการณ์ที่ 3: วิกฤตระบบ (ดอลลาร์อ่อนหนักและความไม่แน่นอนสูง)

หากมีการขายพันธบัตรในสเกลใหญ่โดยไม่มีผู้ซื้อทดแทน และสหรัฐไม่สามารถใช้เครื่องมือทางการเมืองหรือกฎหมายแก้ไขได้เร็วพอ จะเกิดแรงผลักให้ Yield พันธบัตรพุ่งสูง ภาระดอกเบี้ยพุ่ง การกู้ยืมของประเทศแพงขึ้น เกิดความไม่แน่นอนในตลาดการเงินโลก ซึ่งอาจทำให้เกิดการชะลอตัวทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่

บทสรุปและมุมมองส่วนตัว

จากการสนทนาและการวิเคราะห์ พอสรุปได้ว่า:

  • ดอลลาร์ยังมีความแข็งแรงจากหลายปัจจัย แต่กำลังเผชิญกับแรงกดดันจากการ De-Dollarization และการถือสินทรัพย์สำรองที่หลากหลายขึ้น
  • สหรัฐพยายามรักษาอำนาจของดอลลาร์ผ่านการรวมเครื่องมือทั้งด้านการค้าพลังงาน การใช้การเมืองระหว่างประเทศ การผลักดันเทคโนโลยีใหม่ (AI) และการสร้างระบบเงินดิจิทัล (Stablecoin) ที่ได้รับการรองรับตามกฎหมาย
  • เฟดอาจไม่มีพื้นที่มากในการลดดอกเบี้ยแบบกว้าง ๆ เพราะความไม่แน่นอนของ demand สำหรับดอลลาร์และภาระหนี้สาธารณะที่สูง
  • สำหรับนักลงทุนและผู้กำหนดนโยบาย ควรระวังการเปลี่ยนแปลงในระบบสำรองระหว่างประเทศ ติดตามนโยบาย Stablecoin และการเคลื่อนไหวของธนาคารกลางใหญ่

คำแนะนำสั้น ๆ ก่อนปิด

ถ้าคุณเป็นนักลงทุน: กระจายความเสี่ยงทางสกุลเงิน ติดตามข่าวสารนโยบาย Stablecoin และคำนึงถึงบทบาทของตลาดหุ้นสหรัฐที่อาจกลายเป็นหนึ่งในแหล่ง demand สำคัญของดอลลาร์

ถ้าคุณเป็นผู้ติดตามนโยบาย: ติดตามการออกกฎหมายการเงินดิจิทัลของสหรัฐ และการตอบโต้ของจีน/EU เพราะการแข่งขันทางการเงินครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องสกุลเงิน แต่เป็นการต่อสู้เชิงเทคโนโลยีและการเมืองด้วย

“สหรัฐยิ่งใหญ่เพราะเงินดอลลาร์ เงินดอลลาร์ยิ่งใหญ่มา 70 ปี... ถ้าดอกเบี้ยลงมาถึงจุดหนึ่ง พร้อมแล้ว หุ้นลง... นี่คือเกมที่ผมมองเห็น”

ปิดท้าย: ทำไมต้องใส่ใจเรื่องนี้?

การเปลี่ยนแปลงในระบบสกุลเงินสำรองโลกไม่ใช่เรื่องไกลตัว มันส่งผลถึงราคาน้ำมัน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อัตราดอกเบี้ยโลก มูลค่าตลาดตราสารหนี้ และแน่นอนว่าเป็นตัวกำหนดกรอบการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ การเข้าใจกลไกการสร้าง demand สำหรับดอลลาร์และการตอบโต้จากฝ่ายตรงข้ามจะช่วยให้ผู้ลงทุน ผู้กำหนดนโยบาย และสาธารณชนสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้นในยุคที่โลกกำลังปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลและการแข่งขันเชิงอำนาจใหม่

หากคุณสนใจรายละเอียดเชิงลึกหรืออยากให้ผมอธิบายประเด็นใดในเชิงเทคนิคมากขึ้น เช่น ตลาดพันธบัตร วิธีการทำ Hedge ค่าเงิน หรือโครงสร้างกฎหมายเกี่ยวกับ Stablecoin แจ้งผมได้ ผมยินดีเขียนรายละเอียดเชิงวิเคราะห์เพิ่มเติม

 

  • Read More