2025 สัญญาณบ่งชี้ คนไทยวิกฤตการเงิน

บทความนี้สรุปและขยายเนื้อหาจากการสนทนาเชิงลึกของ Business Tomorrow กับคุณจักรพงษ์ เมษพันธุ์ (โค้ชหนุ่ม Money Coach) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้คนทำงานรุ่นใหม่เข้าใจสถานการณ์การเงินในปี 2025 และมี Playbook เป็นขั้นตอนปฏิบัติที่ชัดเจนสำหรับการรับมือ ตั้งแต่การเตรียมความพร้อมเมื่อถูกเลิกจ้าง การจัดการหนี้สินในระบบและนอกระบบ การปรับโครงสร้างการเงินของธุรกิจ (SME) ไปจนถึงแนวคิดใหม่ของการเกษียณในยุค Disruption

สถานการณ์การเงินไทยในปี 2025

ปี 2025 ถูกบรรยายว่าเป็นปีแห่งความไม่แน่นอน — ไม่ใช่วิกฤตที่มาอย่าง 'ตูม' แต่เป็นวิกฤตที่ซึมและแผ่กระจายอย่างกว้างขวาง หลายคนอาจคุ้นกับวิกฤตสถาบันการเงินในอดีตที่มาจากภายนอกและกระแทกอย่างรุนแรง แต่ปีนี้มีสัญญาณแปลก: ผู้ที่ตกงานรวมถึงกลุ่มที่มีรายได้สูงด้วย เช่น ระดับเงินเดือน 50,000–100,000 บาทก็เริ่มประสบปัญหา

ประเด็นสำคัญที่ต้องรู้:

  • ปัญหาไม่ได้จำกัดแค่คนรายได้ต่ำ — คนรายได้ดีบางส่วนถูกกระทบหนักกว่าเพราะมีภาระสูง (บ้าน รถ ค่าเล่าเรียนลูก)
  • หนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง แม้สถิติทางการอาจชี้ว่าหนี้เป็นสัดส่วนต่อ GDP ลดลง แต่นั่นเพราะ GDP โตขึ้น ไม่ได้หมายความว่าจำนวนหนี้ทั้งหมดลดลง
  • มีหนี้ที่ไม่อยู่ในข้อมูลเครดิต (หนี้นอกระบบ, หนี้สหกรณ์บางประเภท) ซึ่งเป็นส่วนที่ยากต่อการจับภาพและอาจเป็นภัยซ่อนเร้น

คำพูดที่จับใจ

"ผมอยากให้พวกเราเกษียณเรื่องเงิน แต่อย่าไปเกษียณเรื่องงาน" — โค้ชหนุ่ม

ประโยคนี้สรุปมุมมองสำคัญ: การเตรียมตัวด้านการเงินต้องทำให้เราไม่ต้อง 'หยุดทำงานเพราะเงิน' แต่ยังสามารถทำงานต่อไปได้ในรูปแบบใหม่ ๆ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน

ใครได้รับผลกระทบมากที่สุด

จากข้อมูลและประสบการณ์ของโค้ชหนุ่ม กลุ่มที่ได้รับผลกระทบชัดเจนมีดังนี้:

  • กลุ่มรายได้ 50,000–100,000 บาท — เดิมคิดว่าเป็นกลุ่มปลอดภัย แต่การปรับลดรายได้หรือการถูกลดตำแหน่งทำให้สะเทือนหนัก เพราะมีภาระสูง
  • SME — เจ้าของกิจการขนาดเล็กที่มีลูกน้อง 20–30 คน กำลังเผชิญกับรายได้ลดและการแข่งขันจากเทคโนโลยีหรือสินค้าจีน
  • พนักงานสายบริการ/เทคโนโลยี — สายบริการและบางตำแหน่งในวงการเทคโนโลยีถูก Disrupt หรือถูกแทนด้วยระบบ/AI
  • สมาชิกสหกรณ์บางกลุ่ม — มีรูปแบบการกู้ยืมที่เป็นแพ็คและการค้ำประกันซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงแบบลูกโซ่

ตัวอย่างสถิติและพฤติกรรมที่สรุปได้

  • คนที่เคยมีเครดิตดี อาจจะยังรักษาหน้าตาโดยการหมุนเงินหรือกู้ยืมเพิ่ม จนสุดท้ายถึงจุดที่ไม่สามารถกู้เพิ่มได้อีก
  • คนที่ก่อนหน้านี้ไม่มีทางเข้าไปในระบบการเงินจะไปหาแหล่งนอกระบบด้วยดอกเบี้ยมหาโหด (เช่น 2% ต่อวัน, 120% ต่อปี)
  • บริษัทใหญ่ยังมี 'ความยืดหยุ่น' มากกว่า SME — พี่โค้ชไม่ค่อยกังวลบริษัทใหญ่เท่า SME

หนี้ในระบบ vs หนี้นอกระบบ

เมื่อพูดถึงหนี้ เราต้องแยกให้ชัดระหว่างหนี้ในระบบ (ธนาคาร สถาบันการเงินในระบบ) กับหนี้นอกระบบ (สินเชื่อที่ไม่มีข้อมูลเครดิต ดอกเบี้ยสูง การกู้ยืมกันเองในกลุ่มเพื่อน ฯลฯ)

  • หนี้ในระบบ — มีการบันทึก มีการเจรจาและมีกระบวนการปรับโครงสร้างได้ (เช่น พักชำระ ดอกเบี้ยลด ชำระเฉพาะดอกเบี้ย ปรับแผนผ่อน)
  • หนี้นอกระบบ — ไม่มีข้อมูลในระบบกลาง ไม่ถูกกำกับ บางครั้งเป็นแพ็คเกจที่มาพร้อมกับการค้ำหรือค่าธรรมเนียมซ้อน ดอกเบี้ยสูงมาก ทำให้ "เลือดไหลไม่หยุด"

ข้อควรระวังสำคัญ:

  1. อย่าใช้หนี้นอกระบบเพื่อรักษา 'ภาพลักษณ์' หรือ 'เครดิต' เพราะจะเป็นวงจรที่ยากจะหลุด
  2. ถ้าการเงินจะพัง ให้พังในระบบก่อน — หมายความว่าเข้าไปเจรจากับเจ้าหนี้ในระบบ เพื่อปรับโครงสร้าง หยุดชำระเฉพาะชั่วคราว ดีกว่าหนีไปหานอกระบบ
  3. หนี้นอกระบบมักมีดอกเบี้ยเชิงโทษ (เช่น 2% ต่อวัน) และมีพฤติกรรมการติดตามแบบรุนแรง

เคสตัวอย่างและบทเรียน

ในบทสนทนา โค้ชหนุ่มเล่าเคสหลากหลายที่ทำให้เห็นภาพชัดเจน เรารวบรวมเป็นตัวอย่างเชิงปฏิบัติที่คนอ่านสามารถนำไปคิดต่อได้

เคส 1: ลูกจ้างรายได้ดี (50k–100k) แต่มีภาระสูง

สมมติคุณมีเงินเดือน 60,000 บาท ต่อเดือน มีบ้านและรถผ่อน เป็นค่าเล่าเรียนลูก เริ่มมีสัญญาณว่ารายได้อาจลดลงระหว่างปีหรือถูกลดตำแหน่ง คุณอาจเลือกที่จะ:

  • ยืนหยัดจ่ายทุกอย่างเพื่อรักษาชื่อเสียง แต่เสี่ยงเข้าสู่การกู้เพิ่ม
  • ยอมลงบางสิ่ง เช่น ขายรถเปลี่ยนเป็นเช่า เพื่อลดภาระ แต่การตัดสินใจนี้ต้องเตรียมจิตใจและวางแผนล่วงหน้า

บทเรียน: อย่าปล่อยให้ภาพลักษณ์เป็นตัวกำหนดทางการเงิน ให้ประเมินว่าจริง ๆ ต้องการ 'ต้นทุนชีวิต' เท่าไร แล้วตัดสินใจตามข้อมูล

เคส 2: SME ที่ธุรกิจไม่มีกำไรจากการดำเนินงาน

โค้ชหนุ่มแนะนำให้เจ้าของกิจการทำงบกำไรขาดทุนย้อนหลัง 3 เดือน เพียงแค่ดูรายได้ หักต้นทุนหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เหลือกำไรก่อนค่าภาษี ดอกเบี้ย เงินเดือน ฯลฯ ถ้า 'กำไรก่อนการเงิน' ติดลบ => สัญญาณชัดว่าธุรกิจถูกทิศทางหลักผิด

แนวทางปฏิบัติ:

  1. ทำบัญชีง่าย ๆ: รายได้รวม - ต้นทุนขาย - ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน = กำไรก่อนค่าใช้จ่ายทางการเงิน
  2. ถ้าติดลบ คิดทางเลือก: ปรับโมเดลธุรกิจ ลดขนาด/ลดต้นทุน ขายสินทรัพย์ หยุด/ปิดกิจการเก่าแล้วเริ่มธุรกิจใหม่
  3. อย่าเข้าใจผิดว่าปิดกิจการคือความพ่ายแพ้เสมอ — หลายคนปิดแล้วเริ่มใหม่ด้วยพลังและวิธีที่ถูกต้อง

เคส 3: สหกรณ์ — ระเบิดเวลาที่ไม่ได้อยู่ในข้อมูลเครดิต

สหกรณ์หลายแห่งปล่อยสินเชื่อแบบแพ็ค: สินเชื่อส่วนบุคคล + สินเชื่อสาหกรบวกหนี้ธนาคารรัฐ บางแห่งปล่อยสินเชื่อโดยไม่คำนึงความสามารถชำระจริง ใช้ระบบค้ำประกันเป็นหลัก และสมาชิกจำนวนมากไม่เข้าใจบัญชีสหกรณ์อย่างถ่องแท้

ผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้น:

  • หนี้ล้นมือ แต่ไม่อยู่ในข้อมูลเครดิตของธนาคาร ทำให้ประเมินความเสี่ยงผิด
  • การค้ำประกันเป็นลูกโซ่ ถ้าคนหนึ่งจ่ายไม่ได้ คนค้ำต้องรับภาระ
  • หากสมาชิกไม่รอด จะเกิดปัญหากับสหกรณ์ระดับกว้าง

บทเรียน: ต้องทำให้ข้อมูลหนี้สาธารณะ/ข้อมูลเครดิตครอบคลุม รวมถึงหนี้จากสหกรณ์ เพื่อให้ระบบการประเมินความเสี่ยงทำงานได้จริง

แผนการรับมือถ้าถูกเลิกจ้าง

การตกงานเป็นความเสี่ยงที่ทุกคนต้องคาดหวังได้ในยุคนี้ ขั้นตอนนี้คือ Playbook เฉพาะหน้าเมื่อเกิดเหตุ

1) หยุดและประเมินสภาพคล่องทันที (Within 24–48 hours)

  • รวบรวมข้อมูลบัญชีธนาคาร, บัตรเครดิต, สัญญาผ่อนบ้าน/รถ, รายจ่ายคงที่ (ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร ฯลฯ)
  • คำนวณว่าเงินที่เหลือจะอยู่ได้กี่เดือนโดยไม่ได้เงินเดือน

2) หยุด 'เลือดไหล' ก่อน — เจรจากับเจ้าหนี้ในระบบ

โค้ชหนุ่มย้ำว่า: ถ้าเงินจะพัง พังในระบบ อย่าไปพังนอกระบบ

  • โทร/นัดพูดคุยกับธนาคารหรือเจ้าหนี้: ขอนัดปรับโครงสร้างหนี้ (พักชำระเงินต้น, จ่ายเฉพาะดอกเบี้ย, หรือปรับผ่อนขั้นบันได)
  • อย่าเงียบ — เจ้าหนี้อยากคุย ต้องการให้คุณติดต่อกลับ เพราะการคุยเปิดทางแก้ได้มากกว่า
  • เตรียมหลักฐาน: สลิปเงินเดือนล่าสุด (หากมี), เอกสารแสดงการถูกเลิกจ้าง, รายการรายรับ-รายจ่าย

3) ปรับค่าใช้จ่ายทันที

  • ลดสิ่งที่ไม่จำเป็น เช่น บริการสตรีม สั่งอาหารนอกบ้าน แพ็กเกจมือถือที่แพงเกิน
  • พิจารณาขาย/ปล่อยสินทรัพย์ที่ไม่จำเป็น เช่น รถคันที่สอง ของสะสม ฯลฯ

4) หา 'รายได้ชั่วคราว' ทันที — อย่ารอจนเงินหมด

  • สมัครงานชั่วคราว/ฟรีแลนซ์ที่ทำได้ทันที (เช่น ส่งพัสดุ ขับรถขนส่ง งานบริการ)
  • เปิดช่องทางขายออนไลน์เล็ก ๆ หรือรับจ๊อบรายชั่วโมง

5) เรียนรู้และเร่งพัฒนาทักษะที่ตลาดต้องการ

  • คอร์สสั้น ๆ ที่ยกระดับทักษะ (เช่น Digital Marketing, การทำคอนเทนต์, Excel ขั้นสูง, AI เบื้องต้น)
  • ลงทุนเวลา 1–2 ชั่วโมงต่อวันเพื่อเรียนรู้ — ตัวอย่าง: น้องนักศึกษาที่ยังเรียน แต่ทำ Affiliate และหาเงิน 200,000 บาทในเดือนหนึ่งได้

6) วางแผนการเงินระยะสั้นและระยะกลาง

  • ถ้าจัดการหนี้ได้: ทำแผนผ่อนชำระใหม่ พิจารณารวมบัตร/รีไฟแนนซ์
  • ถ้ายังหาเงินไม่ได้: ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น ที่ปรึกษาหนี้ เพื่อสร้างแผนระยะยาวและไม่เข้าสู่วงจรนอกระบบ

เกษียณแบบใหม่ — เกษียณเรื่องเงิน แต่ทำงานต่อ

แนวคิดนี้เป็นหัวใจสำคัญที่โค้ชหนุ่มอยากให้คนฟังพิจารณาใหม่ — แทนที่จะตั้งเป้าว่าเมื่อเกษียณแล้วจะหยุดทำงาน ให้ตั้งเป้าว่า "เมื่อเกษียณเรื่องเงิน" หมายถึงจัดการการเงินให้เบาหรือมี passive income เพียงพอ แต่ยังคงทำงานที่ให้คุณค่า ความสุข หรือเติมเต็มชีวิตต่อไป

  • ทำไมต้องเป็นแบบนี้? เพราะคนไทยตอนนี้มีแนวโน้ม 'อายุยืน' สูงขึ้น และถ้าหยุดงานตอนอายุ 60 แต่ร่างกายยังแข็งแรง อาจเกิดอาการ 'เฉา' หรือเหงา
  • ประโยชน์: สุขภาพจิตดีขึ้น มีรายได้รองรับในกรณีฉุกเฉิน และสามารถใช้ประสบการณ์ในการสร้างธุรกิจขนาดเล็กหรือให้คำปรึกษา

ตัวอย่างปฏิบัติ:

  1. ตั้งเป้าหมายการเกษียณเรื่องเงิน: คำนวณว่าต้องมีเงินเก็บและรายได้ passive เท่าไรจึงพอใช้จริง ๆ
  2. สร้าง 'งานที่อยากทำตอนเกษียณ' ตั้งแต่วันนี้ — เริ่มทดลองเป็นพาร์ตไทม์หรือสตาร์ทอัพเล็ก ๆ
  3. ทำให้การทำงานหลังเกษียณไม่ใช่เพื่อเงินเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเวทีให้คุณค่าและกายใจ

แนวทางจัดการหนี้

การให้คำแนะนำต้องแตกต่างตามสถานการณ์ แต่หลักการพื้นฐานไม่เปลี่ยน:

สำหรับคนรายได้สูง (มี Potential ในการหาเงิน)

  • เลิกยึดติดเรื่องเครดิตชั่วคราว: เข้าไปคุยกับเจ้าหนี้เพื่อปรับโครงสร้าง (อย่าเงียบ)
  • ใช้ทางเลือกที่ทำให้ 'เลือดหยุดไหล' เช่น จ่ายเฉพาะดอกเบี้ย พักจ่ายเงินต้นชั่วคราว หรือตามเงื่อนไขธนาคารที่อนุญาต
  • ถ้าจำเป็น ให้รวมหนี้ (debt consolidation) เพื่อให้ค่างวดลดลงและจัดการได้ง่ายขึ้น
  • ใช้ทรัพย์สินที่มีเป็น 'ทางออก' เช่น ขายที่ดิน หรือขายรถคันที่สองเพื่อลดหนี้ส่วนที่ดอกเบี้ยสูง

สำหรับคนรายได้น้อย

  • อย่าไปลุกขึ้นใช้บริการนอกระบบ — เสี่ยงต่อการถูกกดดอกเบี้ยและติดกับดัก
  • เริ่มจากการตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น และสำรองเงินฉุกเฉินแม้จะเล็กน้อย เช่น เดือนละ 500–1,000 บาท
  • หาช่องทางรายได้เสริมที่ใช้ทักษะพื้นฐาน เช่น งานส่งของ งานแม่บ้าน งานรับจ้างชั่วคราว
  • เข้ากลุ่มช่วยเหลือ/หาผู้ให้คำปรึกษา เพื่อเจรจากับเจ้าหนี้ในระบบและหาทางออกที่เหมาะสม

คำแนะนำสำหรับ SME

SME ต้องมองธุรกิจด้วยภาษางบประมาณอย่างตรงไปตรงมา โค้ชหนุ่มแนะนำการทำงบ P&L ง่าย ๆ ดังนี้:

  1. รวบรวมรายได้ 3 เดือนล่าสุด
  2. คำนวณต้นทุนขาย (COGS) ตัดส่วนที่เป็นต้นทุนตรงของสินค้า
  3. คำนวณค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน (เงินเดือนพนักงาน ค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโฆษณา)
  4. หักกันออก — ผลลัพธ์คือ 'กำไรจากการดำเนินงาน'

ถ้ามีสัญญาณติดลบ:

  • พิจารณาหยุด/ปรับธุรกิจเดิม: ขายจุดอ่อน ปรับสินค้า หรือย้ายตลาด
  • ถ้าจำเป็น อาจต้องปิดกิจการเก่าและใช้ทรัพยากรเดิมไปเริ่มธุรกิจใหม่ที่มีโอกาสทำกำไร
  • อย่าทำตามอารมณ์ — ทำงบและตัดสินด้วยตัวเลข

เคสตัวอย่าง: จากร้านเดิมสู่ขับรถส่งของ

โค้ชเล่าเคสพ่อค้าเก่าที่แม้จะเคยมีร้านรุ่ง แต่เมื่อตลาดเปลี่ยน เขาตัดสินใจขายสินทรัพย์บางรายการ รับภาระหนี้ 2 ล้านบาท แล้วออกมาทำงานขับรถส่งของกับลูก กลายเป็นว่ามีความสุขและสามารถปิดหนี้ได้ภายใน 2 ปีเศษ

บทเรียนที่ SME ต้องคิด:

  • ความภาคภูมิใจในบทบาทเดิมอาจทำให้ติดอยู่ — หากธุรกิจไม่ขยับ ต้องเผื่อใจและกล้าปรับ
  • เครือข่าย (connections) และความเอื้อเฟื้อยังเป็น 'ทุน' สำคัญ สามารถช่วยให้เริ่มใหม่ได้

สหกรณ์: ปัญหาเชิงโครงสร้าง

สหกรณ์หลายแห่งเป็นแหล่งเงินที่สะดวกและเข้าถึง แต่มีความเสี่ยงในเชิงระบบ ดังที่โค้ชหนุ่มอธิบาย:

  • การกู้แบบแพ็ค (สินเชื่อ + ประกัน + ค้ำประกัน) ทำให้หนี้กระจายแบบลูกโซ่
  • บางที่ปันผลสูงเพื่อดึงสมาชิก แต่ปันผลสูงเกินไปอาจสะท้อนจากการปล่อยกู้สุ่มสี่สุ่มห้า
  • สมาชิกบางคนเซ็นค้ำให้กันโดยไม่ดูความสามารถในการชำระ ทำให้ความเสี่ยงแพร่ขยาย

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและการบริหาร

  • ควรรวมข้อมูลการกู้ยืมจากสหกรณ์เข้าสู่ระบบเครดิตกลาง (credit bureau)
  • จำกัดอัตราส่วนการชำระหนี้ต่อรายได้ไม่เกิน 40% (หรืออย่างน้อยไม่ให้เกิน 50%) เพื่อป้องกันการ overleveraged
  • เพิ่มความโปร่งใสในสหกรณ์: สมาชิกควรเข้าถึงรายงานการเงินและนโยบายการให้กู้
  • การเลือกกรรมการควรมีการตรวจสอบ conflict of interest เพื่อหลีกเลี่ยงการเอื้อประโยชน์

เจรจาปรับโครงสร้างหนี้

เมื่อคุณต้องเจรจาปรับหนี้ สิ่งที่ต้องเตรียมคือความจริงใจและข้อมูลที่ชัดเจน

  • เตรียมเอกสาร: สลิปเงินเดือนล่าสุด (หรือหนังสือยืนยันการถูกเลิกจ้าง), บัญชีรายรับ-รายจ่าย, รายการหนี้ทั้งหมด
  • มีตัวเลือกให้เจ้าหนี้เห็น เช่น "ผมสามารถจ่ายดอกเบี้ยได้เดือนละ X บาท" หรือ "ผมต้องการพักชำระเงินต้นเป็นเวลา Y เดือน"
  • แสดงเจตจำนงชัดเจนว่าจะร่วมมือ ไม่ได้ตั้งใจหนี

ตัวอย่างแชท/ข้อความเริ่มต้นเจรจากับเจ้าหนี้

ตัวอย่างข้อความที่นำไปใช้ได้จริง:

"สวัสดีครับ ผมชื่อ A ครับ ตอนนี้ผมได้รับผลกระทบจากการลดบุคลากรในบริษัท ทำให้รายได้ลดลง ผมอยากนัดคุยเพื่อขอปรับโครงสร้างการผ่อนชำระ ช่วงนี้ผมสามารถจ่ายเฉพาะดอกเบี้ย X บาทต่อเดือน และต้องการพักเงินต้นเป็นเวลา Y เดือน ได้ไหมครับ ผมมีเอกสารยืนยัน พร้อมคุยรายละเอียดครับ"

จุดสำคัญ: เจ้าหนี้มักเปิดช่องทางให้ถ้าคุณติดต่อก่อนและมีแนวทางที่เป็นรูปธรรม

สรุป 8 ขั้นตอนที่ต้องทำทันทีสำหรับคนทำงานยุคใหม่

นี่คือสรุปเป็นขั้นตอนปฏิบัติที่ทุกคนควรทำตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

  1. หาเงินให้พอ — อย่าพยายาม 'เค้น' ให้ชีวิตพอดีด้วยเงินเดิม ให้ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ให้มากกว่าค่าใช้จ่ายจริง
  2. เพิ่มคุณค่าในตัวเอง — ลงทุนเรียนรู้ทักษะที่ตลาดต้องการ เช่น digital skill, data literacy, AI basic, soft skills
  3. ออมเพื่อฉุกเฉิน — แม้เริ่มจากเล็ก ๆ (เดือนละ 500–1,000) ให้มีสภาพคล่องสำหรับ 3–6 เดือน
  4. มีรายได้หลายเส้น — สร้างเครื่องยนต์รายได้มากกว่า 1 เครื่อง เช่น งานประจำ + ฟรีแลนซ์ + passive income
  5. อย่าหนีเจ้าหนี้ — ถ้าเจอปัญหา ให้คุยกับเจ้าหนี้ในระบบก่อน แล้วเจรจาปรับโครงสร้าง
  6. หลีกเลี่ยงหนี้นอกระบบ — หนี้นอกระบบคือกับดัก ดอกเบี้ยสูงและการติดตามรุนแรง
  7. รีวิวแผนเกษียณ — เน้นให้เกษียณเรื่องเงิน แต่ยังทำงานต่อไปเพื่อคุณค่าและรายได้
  8. ติดตามการเงินมหภาค — เข้าใจนโยบายสาธารณะ เช่น การรวมข้อมูลเครดิต, การควบคุมอัตราการชำระหนี้ เพื่อปรับตัวให้ทัน

ตัวอย่างแผน 12 เดือน

ถ้าคุณเป็นคนทำงานอายุ 25–35 ปี นี่คือแผนปีแรกที่ทำทีละขั้น:

  1. เดือน 1–2: เก็บข้อมูลการเงินส่วนตัว ทำ Budget รายเดือน (รายรับ-รายจ่าย) และตั้งเป้าการออมฉุกเฉิน 3 เดือน
  2. เดือน 3–4: เรียนคอร์สสั้น 1 ทักษะที่ตลาดต้องการ (เช่น Excel, Google Ads, Basic Coding หรือ AI prompt engineering)
  3. เดือน 5–6: หาข้างงานพาร์ตไทม์/ฟรีแลนซ์ 1 ช่องทาง เพื่อเริ่มสร้างรายได้เสริมขั้นต่ำ 5,000–10,000 บาท/เดือน
  4. เดือน 7–8: รีวิวหนี้ ถ้ามีหลายรายการ พิจารณารวมหนี้หรือคุยธนาคาร เพื่อทำให้ค่างวดลดลง
  5. เดือน 9–10: เริ่มลงทุนปริมาณเล็ก ๆ (เช่น กองทุนรวมหรือหุ้นรายย่อย) เพื่อสร้าง passive income ระยะยาว
  6. เดือน 11–12: ประเมินผลทั้งปี ปรับแผนการออม เพิ่มเป้าการออมฉุกเฉินเป็น 6 เดือน และวาง roadmap วิชาชีพ 3 ปี

บทสรุป — 

สถานการณ์การเงินในปี 2025 ไม่ได้เหมือนวิกฤตครั้งก่อน ๆ ที่เกิดแต่มาจากเหตุการณ์ภายนอกและคลี่คลายได้เร็ว ปีนี้เป็นวิกฤตเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อน: หนี้ในระบบ, หนี้นอกระบบ, การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (AI/Automation), และการ Disrupt ของธุรกิจ โดยเฉพาะ SME และกลุ่มรายได้ปานกลาง-สูง

ข้อคิดสำคัญที่ต้องจดจำ:

  • อย่าอายที่จะเจรจา — เจ้าหนี้ส่วนใหญ่ต้องการให้คุณจ่าย เขาอยากพูดคุยกับคุณมากกว่าที่คุณคิด
  • เมื่อตกงาน อย่าเงียบ — ประเมินตัวเอง ทำแผนสั้น ๆ หาเงินชั่วคราว และเรียนรู้ทักษะใหม่
  • เกษียณเรื่องเงิน แต่ยังทำงาน — เตรียมสภาพการเงินให้มั่นคงแต่ยังรักษาคุณค่าของการทำงานเพื่อสุขภาพจิตและรายได้
  • หลีกเลี่ยงวงจรหนี้นอกระบบ — ทางออกที่ยั่งยืนอยู่ในระบบ และควรเริ่มจากการเจรจาในระบบ
  • ลงทุนใน Credit Score ของตัวเอง — การมีเครดิตดีในอนาคตจะทำให้เข้าถึงสินเชื่อราคาดีและตัดช่องทางนอกระบบ

คำแนะนำแบบตรงไปตรงมาในสไตล์โค้ช

"ถ้าวันนี้คุณมีปัญหาการเงิน เริ่มจากใจเย็น ๆ แล้วทำแผนทีละก้าว อย่าพยายามกระโดดเพื่อแก้ทุกอย่างพร้อมกัน เพราะมันจะยิ่งทำให้เราเสียการควบคุม" — โค้ชหนุ่ม

สำหรับคนทำงานรุ่นใหม่ ผมขอสรุปเป็นคำสั้น ๆ ที่นำไปปฏิบัติได้ทันที:

  • หาให้พอกับสิ่งที่ต้องใช้
  • เสริมทักษะ เพิ่มมูลค่า
  • ออมอย่างมียุทธศาสตร์
  • เตรียมทางออกก่อนเกิดวิกฤต
  • คุยกับเจ้าหนี้ อย่าเงียบ

เช็คลิสต์ด่วน (Printable) — ทำวันนี้ได้เลย

  • ทำ Budget รายเดือน (ใช้ Excel หรือ Google Sheets)
  • คำนวณสภาพคล่อง: จำนวนเดือนที่อยู่ได้โดยไม่มีเงินเดือน
  • รวบรวมรายการหนี้ทั้งหมด: เจ้าหนี้, ยอดคงเหลือ, ดอกเบี้ย, ค่างวด
  • โทรหาธนาคาร/เจ้าหนี้ 1 รายที่มีค่างวดใหญ่สุด เพื่อขอปรับโครงสร้าง
  • ลงคอร์สสั้น 1 ทักษะที่ตลาดต้องการภายใน 3 เดือน
  • ตั้งบัญชีออมฉุกเฉิน: เริ่มออมเดือนละ 500–1,000 บาท

คำเชิญท้ายบทความ

โลกการเงินเปลี่ยนเร็ว การปรับตัวจึงเป็นหน้าที่ที่ไม่ใช่แค่วิชาชีพการเงินเท่านั้น แต่เป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องการความมั่นคงทางชีวิต หากคุณกำลังเผชิญปัญหาหนี้หรือการถูกปลดออกจากงาน ลองใช้ Playbook ข้างต้นเป็นจุดเริ่มต้น และไม่ต้องกลัวที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ เพราะการพูดคุยเป็นก้าวแรกสู่การแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ

หากคุณเป็นคนทำงานยุคใหม่ — เริ่มจากก้าวเล็ก ๆ วันนี้ครับ ลงทุนในทักษะ ออมเป็นนิสัย และเตรียมตัวสำหรับโลกที่ต้องทำให้ชีวิตมีรายได้หลายเส้น ความมั่นคงไม่ได้เกิดจากโชค แต่เกิดจากการเตรียมตัวและการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล

อ้างอิงและแรงบันดาลใจ

แนวคิดและตัวอย่างในบทความนี้ได้แรงบันดาลใจจากการสนทนากับคุณจักรพงษ์ เมษพันธุ์ (โค้ชหนุ่ม Money Coach) ในรายการ Business Tomorrow โดยบทสรุปข้างต้นได้รับการปรับเป็นคู่มือเชิงปฏิบัติสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการอยู่รอดและเติบโตในยุค 2025

  • Read More