OpenAI DevDay 2025: สรุปแนวคิด วิธีใช้ และแผนปฏิบัติ
ผมคือผู้บรรยายจากงานเปิดงาน DevDay 2025 ของ OpenAI และในบทความนี้ผมจะพาคุณผ่านประกาศสำคัญ ตัวอย่างการสาธิตจริง และแนวทางเชิงปฏิบัติที่จะช่วยให้คุณเปลี่ยนไอเดียเป็นผลิตภัณฑ์ AI ได้เร็วขึ้น บทความนี้เขียนในสไตล์คำแนะนำ (instructional) เพื่อให้คุณสามารถนำแนวทางไปทำงานได้จริง — ตั้งแต่การสร้างแอปภายใน ChatGPT การสร้างและปรับแต่งเอเจนต์ ไปจนถึงการใช้ Codex ในการเขียนโค้ด และการนำโมเดลใหม่ๆ เช่น GPT-5 Pro และ Sora2 มาใช้ในผลิตภัณฑ์ของคุณ
สารบัญโดยย่อ (Outline)
- ภาพรวมและตัวเลขสำคัญจาก OpenAI DevDay 2025
- Apps SDK: สร้างแอปภายใน ChatGPT — แนวคิด ฟีเจอร์ ตัวอย่าง และแนวทางปฏิบัติ
- Agent Kit: เครื่องมือสร้างเอเจนต์ตั้งแต่ต้นจนจบ — องค์ประกอบ การออกแบบ และขั้นตอนเชิงปฏิบัติ
- Codex: ตัวช่วยเขียนโค้ดระดับทีมงาน — ข้อดี ฟีเจอร์ใหม่ และวิธีใช้งานจริง
- อัปเดตโมเดล: GPT-5 Pro, GPT Real-Time Mini, Sora2 — คำแนะนำการใช้ในแอปจริง
- แผนปฏิบัติแบบทีละขั้นตอน: การสร้างแอปที่รวม Apps SDK, Agent Kit และ Codex
- เช็คลิสต์ ความเสี่ยง และแนวทางป้องกัน
- บทสรุปและคำแนะนำสุดท้าย
ภาพรวมและตัวเลขสำคัญจากเวที
ก่อนลงมือปฏิบัติ เรามาเริ่มจากตัวเลขและบริบทที่ชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรม:
- ปี 2023: มีนักพัฒนาใช้งานสัปดาห์ละประมาณ 2 ล้านคน และผู้ใช้ ChatGPT สัปดาห์ละประมาณ 100 ล้านคน ขณะนั้น API ประมวลผลประมาณ 300 ล้านโทเค็นต่อนาที
- ปี 2025 (ปัจจุบัน): มีนักพัฒนา 4 ล้านคนที่สร้างด้วย OpenAI, ผู้ใช้ ChatGPT มากกว่า 800 ล้านคนต่อสัปดาห์ และ API ประมวลผลมากกว่า 6 พันล้านโทเค็นต่อนาที
- Codex (GPT-5 Codex) ให้บริการไปแล้วมากกว่า 40 ล้านพันล้านโทเค็น (40 trillion tokens) ตั้งแต่เปิดตัวทดลองใช้งาน
- กิจกรรมการใช้งาน Codex เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว: จำนวนข้อความรายวัน (daily messages) ของ Codex เพิ่มขึ้น 10 เท่าตั้งแต่ต้นสิงหาคม
ตัวเลขเหล่านี้ชี้ชัดว่าการใช้งาน AI กำลังย้ายจากการ "ทดลองเล่น" ไปสู่การ "สร้างงานจริง" และความสามารถในการสเกล (scale) ของแอปและบริการ AI นั้นขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ส่วนที่ 1 — Apps SDK: สร้างแอปภายใน ChatGPT
แนวคิดหลัก
เป้าหมายของ Apps SDK คือการเปิด ChatGPT ให้เป็นแพลตฟอร์มที่นักพัฒนาสามารถสร้างแอปแบบ interactive, adaptive และ personalized ได้อย่างง่ายดาย แอปเหล่านี้จะสามารถ:
- เชื่อมข้อมูลและสิทธิ์ของผู้ใช้ (login) ได้จากภายในบทสนทนา
- แสดง UI ที่ตอบสนองได้ (interactive HTML) ภายใน ChatGPT ทั้งแบบ inline, picture-in-picture หรือ full-screen
- ส่ง context กลับไปยังโมเดล เพื่อให้ ChatGPT “รู้” ว่าผู้ใช้กำลังดูหรือทำอะไร (talking to apps)
- เข้าถึงผู้ใช้ ChatGPT หลายร้อยล้านคนผ่านช่องทางการค้นพบและการแนะนำ
ฟีเจอร์สำคัญของ Apps SDK
- สแต็กเต็มรูปแบบ: จาก backend logic ไปจนถึง front-end UI คุณควบคุมโค้ดทั้งหมดได้
- สร้าง UI ด้วย HTML: Apps SDK ถูกสร้างบนมาตรฐาน MCP — ถ้าคุณมี MCP อยู่แล้ว การเพิ่ม resource ที่คืนค่า HTML จะทำให้แอปคุณพร้อมใช้งานบน ChatGPT
- Context API (“talking to apps”): แอปสามารถส่งข้อมูลสถานะกลับไปยัง ChatGPT เพื่อให้โมเดลใช้ข้อมูลนี้ประกอบการตอบ
- Discovery & Suggested Apps: แอปจะถูกค้นพบโดยการแนะนำจากบทสนทนา หรือผู้ใช้สามารถค้นหาชื่อแอปโดยตรง
- การเชื่อมต่อบัญชีและการซื้อขาย: ผู้ใช้สามารถล็อกอินทันทีจากบทสนทนา หากเป็นผู้สมัครใช้งานของแอปนั้น และมีแผนที่จะรองรับวิธีการชำระเงินหลายรูปแบบ เช่น Agente Commerce Protocol สำหรับ checkout ทันทีภายใน ChatGPT
ตัวอย่างการใช้งานจริงที่สาธิต
การสาธิตบนเวทีแสดงให้เห็นแอปหลายตัวทำงานร่วมกับ ChatGPT ได้อย่างไร:
- Coursera: เปิดและเล่นวิดีโอคอร์สภายใน ChatGPT; ผู้ใช้สามารถขอคำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับส่วนที่กำลังดูได้ — แอปส่ง context ของวิดีโอไปยัง ChatGPT และโมเดลอธิบายเนื้อหาแบบเข้าใจง่าย
- Canva: สร้างโปสเตอร์หรือสไลด์จากข้อความที่คุยกับ ChatGPT; สามารถขอปรับแต่งภาพหรือแปลงโปสเตอร์เป็น pitch deck ได้ทันที
- Zillow: แสดงแผนที่แบบโต้ตอบและรายการบ้านที่อยู่อาศัยภายใน ChatGPT; ผู้ใช้สามารถขอกรอง (filter) เช่น บ้าน 3 ห้องนอนที่มีสนามหลังบ้าน และ ChatGPT จะสนทนากับ Zillow เพื่อปรับผลลัพธ์
แนวทางปฏิบัติเมื่อต้องการสร้างแอปด้วย Apps SDK
- วางแผนประสบการณ์ในบทสนทนา — กำหนดว่าสิ่งใดผู้ใช้จะทำได้โดยตรงภายใน ChatGPT (เช่น ดูวิดีโอ สร้างโปสเตอร์ ซื้อของ) และอะไรที่ยังต้องโยกไปยังหน้าเว็บหรือแอปเต็มรูปแบบ
- ออกแบบ HTML UI ที่ตอบสนอง — ใช้องค์ประกอบที่รองรับทั้ง inline และ full-screen; คิดถึง picture-in-picture สำหรับวิดีโอหรือสถานะที่ต้องตามติดบทสนทนา
- ส่ง context กลับไปยังโมเดล — ใช้ API ของ Apps SDK เพื่อส่งสถานะของอินเทอร์เฟซ (เช่น วิดีโอเล่นอยู่ที่ 4:12, ผู้ใช้เลือกโปสเตอร์หมายเลข 2)
- รองรับการล็อกอินและสิทธิ์ — ทำให้ผู้ใช้สามารถล็อกอินจากบทสนทนาเพื่อเข้าถึงบัญชีและเนื้อหาส่วนตัว
- เตรียม Discovery — ติดตามแนวทางของ OpenAI ในเรื่อง developer guidelines เพื่อเพิ่มโอกาสถูกแนะนำและแสดงใน directory
- เตรียมแผนธุรกิจ/การชำระเงิน — คิดถึงโมเดลการสร้างรายได้ เช่น การสมัครสมาชิกภายในแอป, การซื้อแบบ one-time หรือ Agente Commerce Protocol สำหรับ checkout ทันที
ข้อควรระวังและคำแนะนำด้าน UX
- อย่าออกแบบ UI ที่บังคับให้ผู้ใช้กระโดดออกจากบทสนทนาเพื่อทำงานสำคัญ — ใช้ inline capabilities ให้มากที่สุด
- ใช้ context ย้อนกลับอย่างระมัดระวัง — ให้บทสนทนาและแอปมีความชัดเจนว่าใครเป็นเจ้าของข้อมูลใด
- ทดสอบกับผู้ใช้จริง — การค้นพบ (Discovery) จะเกิดขึ้นได้ดีเมื่อแอปถูกออกแบบให้แก้ปัญหาได้อย่างชัดเจนและรวดเร็ว
ส่วนที่ 2 — Agent Kit: เครื่องมือสำหรับสร้างเอเจนต์อย่างรวดเร็ว
เหตุผลที่ต้องมี Agent Kit
เอเจนต์คือซอฟต์แวร์ที่รับผิดชอบงานให้กับผู้ใช้ โดยอาศัย context, tools และ trust แต่การสร้างเอเจนต์ตั้งแต่ต้นมีความซับซ้อน — เพราะต้องจัดการการ orchestration, eval loops, การเชื่อมต่อเครื่องมือ และ UI Agent Kit ถูกออกแบบมาเพื่อลดความซับซ้อนนั้น และช่วยให้คุณนำไอเดียจากต้นแบบไปสู่การใช้งานจริงได้เร็วขึ้น
องค์ประกอบหลักของ Agent Kit
- Agent Builder — ผืนผ้าม่าน (canvas) แบบ visual สำหรับออกแบบ logic ของเอเจนต์ กำหนด node ต่างๆ ทดสอบ flow และปรับปรุงโดยไม่ต้องเขียนโค้ดมาก
- ChatKit — คอมโพเนนต์ chat ที่ฝังเข้าไปในแอปของคุณได้อย่างง่ายดาย ปรับแต่งหน้าตาและพฤติกรรมตามแบรนด์ของคุณ
- Evals สำหรับเอเจนต์ — ชุดเครื่องมือสำหรับประเมินการตัดสินใจของเอเจนต์แบบเป็นขั้นตอน (trace grading), ชุดข้อมูลสำหรับทดสอบ node แต่ละตัว, การปรับ prompt อัตโนมัติ และการรันทดสอบกับโมเดลภายนอก
- Connector Registry — แผงจัดการทีมที่ให้คุณเชื่อมต่อข้อมูลภายในระบบและ third-party services อย่างปลอดภัย พร้อมการควบคุมการเข้าถึง
ตัวอย่างที่นำ Agent Kit ไปใช้
- Albertsons — ใช้เอเจนต์เพื่อตรวจสอบปัญหาการขายสินค้า ณ สาขาเฉพาะ เช่น หากยอดขายไอศกรีมลดลง 32% เอเจนต์สามารถวิเคราะห์ seasonality, trend ประวัติ, ปัจจัยภายนอก และเสนอคำแนะนำ เช่น การปรับ display หรือการลงโฆษณาในพื้นที่
- HubSpot (Breeze) — ปรับปรุงการตอบลูกค้าด้วย widget เฉพาะ: เอเจนต์ดึงข้อมูลจากฐานความรู้ของลูกค้า ค้นหาวิธีรักษาพืชในสภาวะแห้ง แล้วให้คำแนะนำหลายทางเลือกพร้อมข้อแนะนำที่เหมาะสม
- Dev Day Agent (Ask Froge) — การสาธิตสดโดย Christina: ภายในเวลา 8 นาที สร้าง workflow ที่ประกอบด้วย agent หลายตัว guardrails การจับ intent การแนบไฟล์ข้อมูล และการแสดงผลด้วย widget จากนั้นฝัง ChatKit ลงในเว็บและเผยแพร่ — ทั้งหมดทำได้โดยแทบไม่ต้องเขียนโค้ด
แนวทางปฏิบัติในการออกแบบเอเจนต์ด้วย Agent Kit
- แยกหน้าที่ให้ชัดเจน — ออกแบบเอเจนต์เป็นชุดตัวเล็กๆ (specialized agents) แต่ละตัวมีขอบเขตชัดเจน เช่น sessions agent, info agent, transactions agent
- ใช้ Agent Builder เพื่อต้นแบบก่อนเขียนโค้ด — วาง logic แบบ visual ทดสอบ flow และแก้ไขก่อนจะส่งออกเป็นโค้ด
- รวม Guardrails ตั้งแต่ต้น — เปิดใช้กรอบการป้องกัน PII, moderation, และ checks อื่นๆ เพื่อป้องกันผลลัพธ์ที่ไม่ต้องการ
- ทำ Eval รอบต่อรอบ — รัน evals แบบอัตโนมัติสำหรับแต่ละ node เพื่อหาจุดบกพร่องของวิธีคิดและการตัดสินใจของเอเจนต์
- เตรียมการเชื่อมต่อข้อมูลอย่างปลอดภัย — ใช้ Connector Registry เพื่อจัดการสิทธิ์และบันทึกการเชื่อมต่อภายนอกอย่างมีการควบคุม
- ทดสอบกับสถานการณ์จริง — ทำ stress tests, scenario tests, และ human-in-the-loop ในกรณีที่ต้องการการตัดสินใจแบบมีความเสี่ยง
ขั้นตอนสรุปแบบก้าวต่อก้าว (Quick Start ใช้ Agent Kit)
- กำหนด Use Case และแยกฟังก์ชันออกเป็นเอเจนต์ย่อย
- สร้างไฟล์เอกสารข้อมูล (docs) หรือ connector ที่เอเจนต์จะใช้
- ออกแบบ workflow ใน Agent Builder โดยเพิ่ม nodes, tools, widgets และ guardrails
- preview และทดสอบใน Agent Builder ใช้ trace grading เพื่อดูการตัดสินใจของเอเจนต์
- publish workflow และรับ workflow ID (หรือ export โค้ดถ้าต้องการ self-host)
- ฝัง ChatKit ในเว็บหรือแอปของคุณโดยอ้างอิง workflow ID
- มอนิเตอร์การทำงาน รัน evals อัตโนมัติ และปรับปรุงตาม feedback
ส่วนที่ 3 — Codex: เปลี่ยนวิธีเขียนซอฟต์แวร์
ภาพรวม Codex และ GPT-5 Codex
Codex เริ่มเป็นตัวช่วยฝึกสอน/ช่วยเขียนโค้ดแบบทดลอง และในปีนี้มันเข้าสู่สถานะ GA (General Availability) โดยใช้ GPT-5 Codex ซึ่งถูกออกแบบมาสำหรับการเขียนโค้ดโดยเฉพาะ ความสามารถหลักรวมถึง:
- การปรับ refactor โค้ดและการทำ code review ได้ดีขึ้น
- การปรับเวลาในการ "คิด" ของโมเดลกับงานที่มีความซับซ้อนต่างกัน
- การทำงานร่วมกับ IDE, terminal, GitHub และคลาวด์อย่างราบรื่น
- ช่วยให้ทีมวิศวกรรมทำงานได้เร็วขึ้น (ตัวอย่างภายใน: วิศวกรที่ใช้ Codex ทำ PR ได้เพิ่มขึ้น 70%)
ฟีเจอร์ใหม่ที่รองรับการใช้งานในทีม
- Slack integration — สอบถาม Codex ใน Slack เพื่อตอบคำถามหรือให้เขียนโค้ดจากบริบทของคอนเวอร์เซชันทีมได้ทันที
- Codex SDK — ขยายและอัตโนมัติโปรเซสของ Codex เข้ากับ workflow ภายในของทีม
- เครื่องมือของแอดมิน — environment controls, monitoring, analytics dashboards สำหรับองค์กร
สถิติและผลลัพธ์เชิงประสิทธิภาพ
- daily messages ของ Codex เพิ่ม 10x ตั้งแต่ต้นสิงหาคม
- บริการ GPT-5 Codex ถูกใช้งานอย่างหนัก: มากกว่า 40 trillion tokens ถูกให้บริการ
- ตัวอย่างองค์กร: Cisco ลดเวลาการตรวจสอบโค้ดลง 50% และลดเวลาพัฒนาโปรเจคจากสัปดาห์เหลือวัน
ตัวอย่างการสาธิตโดย Ramon — สิ่งที่ Codex ทำได้จริง
การสาธิตแสดงให้เห็นว่าคุณสามารถ:
- ให้ Codex สร้าง server ที่ควบคุมกล้อง Sony FR7 ผ่านโปรโตคอล VISA ใน Node.js ได้
- ให้ Codex วิเคราะห์เอกสารและดึงข้อมูลโปรโตคอลจาก GitHub โดยอัตโนมัติเมื่อมัน “ติดขัด” และต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม
- ให้ Codex เชื่อมต่อเข้า MCP server เพื่อเชื่อมต่อกับระบบแสง (lighting) ของสถานที่จัดงาน
- ให้ Codex ทำงานในพื้นฐาน agentic: รับงานยาวนานหลายชั่วโมง ทำ refactor ขนาดใหญ่ และกลับมาพร้อมผลลัพธ์ที่ใช้งานได้
- ให้ Codex รันคำสั่งสดจากเสียง (voice) และแก้ไขโค้ดในแอป React แบบ hot reload ผ่าน Codex SDK
คำแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับการนำ Codex ไปใช้
- เริ่มจากบริบทที่ชัดเจน — ให้ Codex เข้าใจ repository, dependency, และรูปแบบโปรเจคผ่าน auto-context ของ IDE
- แยกงานให้เป็นภารกิจ — ส่ง task ที่ชัดเจน เช่น “เพิ่ม endpoint GET /users ที่รองรับ pagination และ token auth” แทนคำสั่งกว้างๆ
- ใช้ Codex SDK เพื่ออัตโนมัติ — สร้าง automation pipeline เช่น PR generation, testing, และ deployment triggers
- ติดตั้ง guardrails สำหรับการเปลี่ยนแปลงโค้ด — รันชุดทดสอบอัตโนมัติ, static analysis, และ code review ก่อน merge
- สร้างช่องทาง feedback — ให้ Codex ส่งคำอธิบายและ README อัตโนมัติเมื่อตั้งค่า feature ใหม่ เพื่อให้ทีมเข้าใจการเปลี่ยนแปลง
- ติดตามการใช้งานและค่าใช้จ่าย — เพราะ Codex อาจรันหลายขั้นตอนและใช้ token มาก ควรมีเครื่องมือมอนิเตอร์ usage และประเมิน ROI
ตัวอย่าง prompt และ pattern ที่ได้ผล
- Prompt แบบตั้งค่า: “สร้างไฟล์ server.js ที่ใช้ express บริหาร routes /api/items ด้วย token-based auth, รวม unit tests”
- Prompt แบบ incremental: “เริ่มด้วยการสร้าง test suite สำหรับ feature X แล้วจึงสร้างโค้ดที่ผ่าน test ดังกล่าว”
- Prompt สำหรับ refactor: “อ่านไฟล์ X และ refactor ให้ใช้ async/await รวมลบโค้ดซ้ำ ถามฉันก่อนเปลี่ยน API public”
ส่วนที่ 4 — อัปเดตโมเดลสำคัญ: GPT-5 Pro, Real-Time Mini, Sora2
GPT-5 Pro — โมเดลที่ “ฉลาดที่สุด” ใน API
GPT-5 Pro เปิดใน API เพื่อให้ผู้พัฒนาถึงการใช้งานประเด็นเชิงลึกในโดเมนที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น กฎหมาย, การเงิน, สาธารณสุข โดยมีความสามารถหลัก:
- ความสามารถในการ reasoning สูงขึ้น เหมาะกับงานที่ต้องการการวิเคราะห์เชิงลึก
- เหมาะสำหรับการนำไปใช้กับระบบที่ต้องการความเชื่อถือได้ (high accuracy) เช่น decision support
- ควรใช้ร่วมกับ evals และ human-in-the-loop สำหรับการตรวจสอบความถูกต้องในโดเมนสำคัญ
GPT Real-Time Mini — โมเดลเสียงขนาดเล็กและประหยัด
โมเดลเสียงขนาดย่อมนี้เป็นเวอร์ชันที่ถูกลงประมาณ 70% แต่รักษาคุณภาพเสียงและการแสดงออกให้เทียบได้กับโมเดลเสียงขั้นสูง เหมาะสำหรับ:
- แอปแบบเรียลไทม์ที่ต้องการพูดโต้ตอบด้วยเสียง
- การใช้งานในอุปกรณ์ edge/มือถือที่มีงบประมาณจำกัด
- การรวมเข้ากับ real-time API เพื่อให้มีการสื่อสารแบบ speech-to-speech
Sora2 — โมเดลวิดีโอขั้นสูงใน API
Sora2 ถูกออกแบบเพื่อสร้างวิดีโอที่ควบคุมได้ดีขึ้น ซึ่งรวมถึงความสามารถต่อไปนี้:
- การควบคุมคอมโพสิชัน — กำหนดมุมกล้อง (เช่น ขยายจาก iPhone view เป็น sweeping wide shot)
- การควบคุมเสียง — สร้างซาวด์สเคปที่ซิงก์กับภาพ ทั้งสภาพแวดล้อม เสียงเอฟเฟกต์ และการพูด
- การนำภาพต้นฉบับมาผสม — นำภาพจริง (เช่น ภาพสุนัขของคุณ) มาสร้างตัวละครหรือฉากที่มีความเหมาะสม
- การใช้งานแบบ concept development — เหมาะสำหรับนักออกแบบและทีมสร้างสรรค์ที่ต้องการแนวคิดอย่างรวดเร็ว
แนวทางใช้งาน Sora2 และการพัฒนาเนื้อหาวิดีโอ
- กำหนดสโคปวิดีโอ: length, aspect ratio, resolution
- เตรียม prompt ที่ระบุสไตล์และอารมณ์ (mood), ตัวละคร, camera moves และเสียงประกอบ
- เริ่มจากเวอร์ชัน concept แล้ว iterate — ใช้ Sora2 เพื่อสร้างตัวอย่างเร็วก่อนขยายเป็นเวอร์ชันความละเอียดสูง
- สำหรับการรวมเสียงที่สมจริง: ระบุชัดเจนว่าเสียงต้องซิงก์กับเหตุการณ์ใด เช่น “เมื่อคนเลี้ยวเรือ ให้เพิ่มเสียงน้ำกระเซ็นและเปียโนเบาๆ”
- ใช้ Sora2 ร่วมกับ asset pipeline ของคุณ (เช่น ให้ designer อัพภาพสเก็ตช์แล้ว Sora2 สร้างวิดีโอจากภาพสเก็ตช์นั้น)
ส่วนที่ 5 — แผนการสร้างแอปแบบ End-to-End ที่รวมเทคโนโลยีทั้งหมด
เป้าหมายตัวอย่าง: สร้างแอปสำหรับธุรกิจ Dog-Walking (ตามการสาธิต)
ในตัวอย่างสาธิต เราจะผสมผสานหลายองค์ประกอบ: ChatGPT + Apps SDK + Canva + Zillow + Agent Kit + Codex เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ครบวงจรสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจ dog-walking — ตั้งแต่การตั้งชื่อแบรนด์ ทำโปสเตอร์ เปิดคอร์สฝึกอบรม ไปจนถึงการขยายธุรกิจในพื้นที่ใหม่
แผนปฏิบัติแบบทีละขั้น (Blueprint)
- ขั้นที่ 0 — ระบุผู้ใช้หลักและปัญหา
- ผู้ใช้: เจ้าของธุรกิจ dog-walking ขนาดเล็ก
- ปัญหา: ต้องการแบรนด์, สื่อการตลาด, ค้นหาบ้านให้เช่าเพื่อขยายพื้นที่, ต้องการคอร์สฝึกอบรม
- ขั้นที่ 1 — ออกแบบประสบการณ์ Chat-First
- ใน ChatGPT ให้ผู้ใช้สามารถ: คุยไอเดียชื่อแบรนด์, สร้างกราฟิก, ดูคอร์ส, ค้นหาบ้านใหม่
- ตัดสินใจว่าองค์ประกอบไหนจะเป็น inline widget (เช่น Canva poster), อะไรจะเป็น full-screen (เช่น Zillow map)
- ขั้นที่ 2 — สร้าง Apps
- ใช้ Apps SDK เพื่อสร้าง integration กับ Canva (asset generation), Coursera (video course), Zillow (listings)
- ทำให้แอปส่ง context กลับไปยัง ChatGPT เช่น “ผู้ใช้เลือก poster #3”
- ขั้นที่ 3 — สร้างเอเจนต์เพื่อการเติบโต
- ใช้ Agent Kit เพื่อสร้าง agent: market planner agent, expansion agent, ops agent
- ผูก agent กับ connector ที่ดึงข้อมูลการเงิน, สต็อก, ข้อมูลพื้นที่ (Zillow), และ feedback
- ขั้นที่ 4 — ใช้ Codex เพื่อเขียนโค้ดส่วนที่ซับซ้อน
- ให้ Codex สร้าง API gateways สำหรับ Canva/Zillow integrations และ fallback handlers
- ใช้ Codex SDK เพื่อสร้าง automation ที่ deploy และทดสอบทุกครั้งเมื่อมีการ publish agent
- ขั้นที่ 5 — ทดสอบและเปิดตัว
- รัน evals สำหรับเอเจนต์: trace grading, scenario tests
- ใช้ human-in-the-loop ในช่วงแรกเพื่อตรวจสอบคำแนะนำที่เกี่ยวกับการเงินหรือกฎหมาย
- ขั้นที่ 6 — ติดตามและปรับปรุง
- ตั้งการมอนิเตอร์: KPIs เช่น conversion จาก poster ไปสู่ลูกค้าใหม่, ความถูกต้องของ agent recommendation
- ปรับ prompt และ workflows ตามผลลัพธ์ของ evals และ feedback ของผู้ใช้
เคล็ดลับในการผสานระบบหลายแหล่ง
- กำหนด canonical source of truth สำหรับข้อมูลแต่ละประเภท (เช่น การเงิน, รายการบ้าน, asset)
- ใช้ caching และ versioning ของข้อมูลเมื่อเอเจนต์ต้องทำการตัดสินใจที่สำคัญ
- จัดระเบียบ permissions และ auditing logs เมื่อเชื่อมต่อกับ third-party APIs
ส่วนที่ 6 — เช็คลิสต์สำหรับการนำไปใช้จริง
ก่อนปล่อยสู่ production
- ทดสอบ flow ทุกเส้นทางใน Agent Builder และรัน evals แบบอัตโนมัติ
- ตรวจสอบ guardrails: PII blocking, content moderation, policy compliance
- ตั้งระบบ rollback และ feature flags สำหรับการปล่อยฟีเจอร์ใหม่
- ทดสอบการเชื่อมต่อกับ third-party services ภายใต้ภาระการใช้งานจริง (load testing)
- เตรียมเอกสารและ readme สำหรับผู้ดูแลระบบและทีมซัพพอร์ต
หลังปล่อยสู่ production
- ตั้งการมอนิเตอร์ KPI และ logging
- รัน evals ตาม schedule (เช่น ทุกเช้า) เพื่อตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของประสิทธิภาพ
- รวบรวม feedback จากผู้ใช้และปรับ prompt/agents อย่างต่อเนื่อง
- ตรวจสอบค่าใช้จ่ายของโมเดลและ optimize usage (เช่น เก็บ context ขนาดพอดี, ใช้รุ่นถูกกว่าสำหรับงานที่ไม่ต้องการความแม่นยำสูง)
ส่วนที่ 7 — ความเสี่ยง ปัญหาที่คาดว่าจะเจอ และวิธีป้องกัน
1. Hallucination และข้อผิดพลาดของข้อมูล
สาเหตุ: โมเดลให้คำตอบที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
- แนวทางป้องกัน:
- ใช้ guardrails และ verification nodes ใน Agent Kit
- เข้าถึงแหล่งข้อมูลที่เป็น canonical และทำ cross-check ผ่านหลายเครื่องมือ
- ออกแบบ human-in-the-loop สำหรับการตัดสินใจที่มีความเสี่ยง
2. การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล (PII)
สาเหตุ: แอปหรือเอเจนต์อาจเรียกข้อมูลส่วนบุคคลหรือส่งข้อมูลที่ละเอียดอ่อนไปยังโมเดล
- แนวทางป้องกัน:
- กำหนด guardrails สำหรับ PII blocking
- ใช้ Connector Registry เพื่อควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูล
- สร้าง audit logs เพื่อสามารถตรวจสอบที่มาของการร้องขอข้อมูลได้
3. ค่าใช้จ่ายของโมเดลและสเกล
สาเหตุ: การเรียกใช้งาน GPT-5 Pro หรือ Sora2 อย่างไม่ระมัดระวังสามารถทำให้ค่าใช้จ่ายพุ่ง
- แนวทางป้องกัน:
- ใช้รุ่นราคาถูกสำหรับงานที่ไม่ต้องการความแม่นยำสูง
- จำกัด context size และจัดการ prompt ให้มีประสิทธิภาพ
- ตั้ง quotas และ alert เมื่อ usage เกินเกณฑ์
4. ความเชื่อถือได้ของเอเจนต์ (Reliability)
สาเหตุ: Agent orchestration อาจล้มเหลวเมื่อมี node ใด node หนึ่งผิดพลาด
- แนวทางป้องกัน:
- ออกแบบ fallback strategies (retry, degrade gracefully)
- รัน unit/e2e tests สำหรับแต่ละ node ก่อน publish
- ใช้ observability tools เพื่อตรวจสอบ trace ของแต่ละการตัดสินใจ
ส่วนที่ 8 — ตัวอย่างแพทเทิร์นการออกแบบและโค้ด (Conceptual Patterns)
Pattern: Agent as a Router
ใช้เอเจนต์หนึ่งตัวเพื่อทำหน้าที่เป็นตัวจัดเส้นทาง (router) คำขอไปยังเอเจนต์เฉพาะเรื่อง:
- Classifier Node: วิเคราะห์ intent
- Router Node (If/Else): ส่งคำขอไปยัง session agent หรือ info agent ฯลฯ
- Target Agent: ดึงข้อมูลจากไฟล์หรือ connector แล้วส่งผลลัพธ์กลับพร้อม widget
Pattern: Human-in-the-loop for High Risk Actions
- Agent ประเมินความเสี่ยงของคำขอ
- ถ้าความเสี่ยงสูง ให้ส่งไปยังมนุษย์เพื่อตรวจสอบและ authorize
- เมื่อมนุษย์อนุมัติ เอเจนต์จะดำเนินการต่อ
Pattern: Context Feedback Loop
การส่งสถานะของแอปกลับไปยังโมเดลเพื่อให้การตอบสนองมีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น:
- UI state: asset selected, current timestamp ฯลฯ
- 모델จะใช้ context นี้ในการ generate response ที่แม่นขึ้น
ส่วนที่ 9 — แผนจัดการการค้นพบ (Discovery) และการตลาดสำหรับ Apps ใน ChatGPT
เพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้ค้นพบแอปของคุณ
- ปฏิบัติตาม developer guidelines ของ OpenAI เพื่อให้แอปมีสิทธิ์ถูกแสดงใน directory และเป็น suggested app
- ออกแบบ flows ให้แก้ปัญหาได้ชัดเจนและทำเสร็จภายในบทสนทนาหรือด้วย full-screen widget ที่เรียบง่าย
- ใช้ metadata ที่ถูกต้อง: คำอธิบายแอป, คำค้นหา (keywords), และตัวอย่างการใช้งาน (sample prompts)
- หากเป็นไปได้, ให้ผู้ใช้ล็อกอินและเชื่อมบัญชีจากบทสนทนา เพื่อให้ retention ดีขึ้น
บทบาทของ Monetization
การสร้างรายได้สามารถทำได้หลายรูปแบบ:
- subscription model เมื่อผู้ใช้ต้องการ access แบบพรีเมียม
- in-conversation purchases ผ่าน Agente Commerce Protocol
- การให้บริการ B2B เช่น enterprise connectors, custom agents และ analytics
ส่วนที่ 10 — แนวปฏิบัติด้านจริยธรรมและการกำกับดูแล
หลักการสำคัญ
- ความโปร่งใส: แจ้งผู้ใช้เมื่อบทสนทนาหรือคำแนะนำมาจากโมเดลและเมื่อมีการส่งข้อมูลไปยัง third-party
- การควบคุมข้อมูล: ให้ผู้ใช้สามารถควบคุมข้อมูลของตน รวมถึงการลบข้อมูลจากระบบ
- การประเมินความเสี่ยง: ทำการประเมินผลกระทบด้านสังคมและความปลอดภัยก่อนเปิดใช้งานเอเจนต์ที่สามารถกระทบชีวิตผู้คน
แนวปฏิบัติแนะนำ
- แจ้งผู้ใช้เสมอเมื่อมีการดำเนินการที่เป็น transactional หรือมีผลกระทบทางการเงิน/กฎหมาย
- เก็บ audit trail สำหรับการตัดสินใจที่เป็นเหตุเป็นผล (explainability logs)
- ออกแบบ mechanism สำหรับการยกเลิกและแก้ไขคำแนะนำที่ผิดพลาด
บทสรุปและคำแนะนำเชิงปฏิบัติสุดท้าย
OpenAI DevDay 2025 แสดงให้เห็นว่าเราอยู่ในยุคที่การเปลี่ยนไอเดียเป็นผลิตภัณฑ์สามารถเกิดขึ้นได้เร็วและกว้างกว่าที่เคย — ด้วยเครื่องมือใหม่อย่าง Apps SDK, Agent Kit, Codex และโมเดลขั้นสูงอย่าง GPT-5 Pro และ Sora2 คุณมีโอกาสสร้างประสบการณ์ AI ที่สมบูรณ์และน่าทึ่งได้เมื่อรวมกันอย่างระมัดระวัง
คำแนะนำสำคัญที่ผมอยากฝากไว้เป็นข้อสรุป:
- เริ่มจากปัญหาที่ชัดเจน: อย่าเริ่มที่เทคโนโลยี—เริ่มจากผู้ใช้และ pain points
- ทำต้นแบบแบบรวดเร็วด้วย Agent Builder และ Apps SDK ก่อนเขียนโค้ดหนัก
- ใช้ Codex เพื่อเร่งการพัฒนา แต่ตั้ง guardrails และทดสอบอย่างเข้มงวด
- ประเมินความเสี่ยงเชิงข้อมูลและจริยธรรมตั้งแต่ต้น
- วางแผนการ monetize และ discovery ตั้งแต่ต้น — การเข้าถึงผู้ใช้ใน ChatGPT มีศักยภาพสูง แต่ต้องออกแบบประสบการณ์ที่น่าสนใจและทำให้ผู้ใช้ทำงานเสร็จได้จริง
“AI ใช้ได้จริงแล้วสำหรับการสร้าง — ไม่ใช่แค่การทดลองเล่นอีกต่อไป” — แนวทางจากเวที DevDay: ใช้เครื่องมือที่มีอยู่เพื่อออกแบบ เอเจนต์ และการรวมระบบที่ตอบโจทย์จริง
แหล่งข้อมูลและการเริ่มต้น
- ดาวน์โหลด Apps SDK และทดลองสร้างแอป preview — เริ่มจากตัวอย่างที่เชื่อมกับ MCP
- ลอง Agent Kit: สร้าง workflow ง่ายๆ เช่น session agent และ info agent แล้วฝัง ChatKit ในเว็บของคุณ
- ทดลองใช้ Codex ใน IDE ของคุณ: เริ่มจาก task เล็ก ๆ เช่นสร้าง endpoint หรือ refactor ฟังก์ชัน และค่อยๆ ขยาย
- ทดลอง Sora2 กับแนวคิดวิดีโอสั้นสำหรับการโฆษณาผลิตภัณฑ์หรือ concept art
ขอให้คุณนำคำแนะนำนี้ไปใช้แล้วสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ — เริ่มจากไอเดียที่ชัดเจน ทำต้นแบบเร็ว เรียนรู้จากการใช้งานจริง แล้วสเกลเมื่อมั่นใจ ผมและทีม OpenAI หวังว่าจะได้เห็นผลงานของคุณในไม่ช้า