วิกฤตเศรษฐกิจไทย: วิเคราะห์เชิงนโยบายและทางรอด
บทความชิ้นนี้เรียบเรียงเนื้อหาเชิงวิเคราะห์จากการสนทนาเชิงลึกในรายการของ THE STANDARD WEALTH โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับสถานะปัจจุบันของเศรษฐกิจไทยที่กำลังเผชิญกับวิกฤตพร้อมกันสี่มิติ ได้แก่ สงครามภาษีระหว่างมหาอำนาจ (Tax/Trade War), ความขัดแย้งชายแดนกับกัมพูชา, ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ และปัญหาระยะยาวจากการปรับตัวไม่ทันของประเทศต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก (การสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน) บทความนี้มีวัตถุประสงค์สรุป วิเคราะห์เชิงสาเหตุ ผลกระทบระยะสั้น-กลาง-ยาว และเสนอแนวทางนโยบายที่เป็นไปได้เพื่อบรรเทาวิกฤตและเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส
สาระสำคัญและกรอบวิเคราะห์
ในเชิงกรอบวิเคราะห์ เราจะมองเหตุการณ์ทั้งสี่เป็นระบบเชื่อมโยงที่ก่อให้เกิด “perfect storm” หรือพายุร่วมของปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง โดยพิจารณาองค์ประกอบสำคัญดังนี้
- ลักษณะและต้นตอของแต่ละวิกฤต
- ผลกระทบต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ การส่งออก การท่องเที่ยว SME และหนี้ครัวเรือน
- การทำงานร่วมกันของวิกฤตทั้งสี่ที่เพิ่มความเปราะบาง (synergy effect)
- แนวทางนโยบายเชิงรับและเชิงรุกเพื่อป้องกัน “Lost Decade” และฟื้นฟูขีดความสามารถการแข่งขัน
ภาพรวมสถานการณ์: ทำไมต้องกังวล?
ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยมีตัวชี้วัดหลายด้านที่น่ากังวล แม้บางตัวเลขจะยังดูแข็งแรงเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาค แต่แนวโน้มการเติบโตเชิงโครงสร้างช้าลงอย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีปัจจุบันอยู่ในระดับประมาณ 1.8–1.9% ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตและระดับที่จำเป็นเพื่อยกระดับรายได้ต่อหัวของประเทศ
อีกด้านหนึ่ง การพึ่งพาการส่งออกสูง (ส่งออกคิดเป็นประมาณ 60% ของ GDP หรือราว 12 ล้านล้านบาทตามการประเมินเชิงพื้นที่) ทำให้เศรษฐกิจไทยอ่อนไหวต่อการชะลอตัวของการค้าโลกและมาตรการคุ้มกันทางการค้าจากต่างประเทศ นอกจากนี้ ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูง (ประมาณ 90% ของ GDP) หนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น (แตะระดับเกือบหรือเกิน 60% ของ GDP) และการขาดดุลงบประมาณอย่างต่อเนื่อง (ระดับประมาณ 4.5–5% ของ GDP ซึ่งสูงกว่าระดับที่เหมาะสมที่ราว 3%) เป็นปัจจัยที่จำกัดความสามารถของรัฐในการใช้มาตรการกระตุ้นขนาดใหญ่เมื่อจำเป็น
วิกฤตทั้งสี่: อธิบายรายละเอียดและผลกระทบ
1) สงครามภาษี (Trump Tariffs / Global Trade Frictions)
ต้นกำเนิด/ลักษณะ: สงครามภาษีที่เกิดขึ้นโดยการปรับอัตราภาษีนำเข้าส่งออกของสหรัฐฯ ต่อสินค้าจากต่างประเทศ ส่งผลให้โครงสร้างต้นทุนการค้าระหว่างประเทศเปลี่ยนแปลง โดยมีการยกระดับอัตราภาษีนำเข้าเฉลี่ยในบางหมวดจากระดับต่ำ (ประมาณ 2.5–5%) ขึ้นไประดับสูงขึ้น (ประมาณ 15% ตามการประเมินในช่วงที่เริ่มมีการประกาศ) ผลคือขอบเขตและความลื่นไหลของการค้าระหว่างประเทศแคบลง และทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจโลกลดจากระดับที่คาดคือราว 3% เหลือเพียงประมาณ 2% กว่า
ผลกระทบโดยตรงต่อไทย:
- การส่งออกของไทยชะลอลง: คาดว่าสัดส่วนการเติบโตของส่งออกตลอดปีอาจลดลงจากเลขสองหลักในครึ่งปีแรกเหลือประมาณ 5–6% ในปลายปี
- การท่องเที่ยวได้รับผลกระทบบ้าง: ปริมาณนักท่องเที่ยวที่ควรได้เดือนละเกิน 3 ล้านคน อาจถดถอยไปอยู่ในระดับประมาณ 2.8–2.9 ล้านคนต่อเดือน ขณะที่เป้ารวมในระดับปี (เช่น 40 ล้านคน) ต้องถูกปรับลด
- SME อ่อนแอสุด: เมื่อเค้กของอุปสงค์ลดลง บริษัทขนาดใหญ่ที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงยังคงรักษาส่วนแบ่งได้ดี ขณะที่ SME ที่เป็นฐานของภาคการผลิตและการจ้างงานจะได้รับผลกระทบหนักกว่า ส่งผลต่อรายได้ของครัวเรือนและหนี้ภาคครัวเรือน
ผลกระทบเชิงระบบ:
- การชะลอของการค้าโลกกดดันการลงทุนและห่วงโซ่อุปทาน (global value chain) โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก
- ความเสี่ยงการทุ่มตลาด (dumping) จากประเทศต้นทุนต่ำ เช่น สินค้าจีน ที่อาจทะลักเข้าสู่ตลาดต่างประเทศและทำให้สินค้าไทยถูกแซนวิชทั้งจากด้านบน (high-end producers) และด้านล่าง (low-cost producers)
- แรงกดดันให้ประเทศต้องกระจายตลาดและทำการปรับโครงสร้างผู้ส่งออก รวมถึงมียุทธศาสตร์รับมือการบิดเบือนทางการค้า เช่น มาตรการ AD (anti-dumping) และ CVD (countervailing duty)
2) ความขัดแย้งชายแดน ไทย–กัมพูชา (Border Conflict)
ต้นกำเนิด/ลักษณะ: ความขัดแย้งเชิงอธิปไตยและการตีความแผนที่ประวัติศาสตร์ระหว่างไทยและกัมพูชา ถูกขับเคลื่อนและทวีความรุนแรงขึ้นผ่านมิติใหม่ของสื่อสังคม (social media) ที่สร้างชาตินิยม แรงกดดันจากสาธารณะ และการบิดเบือนข้อมูล นำไปสู่การปะทะในพื้นที่ชายแดน บางครั้งมีการสูญเสียชีวิตและความเสียหายทางทรัพย์สิน
ผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจไทย:
- พื้นที่ชายแดนกระทบสังคมเศรษฐกิจแบบองค์รวม: ผลกระทบทางเศรษฐกิจไม่กระจายไปทั่วประเทศ แต่กระทบชุมชนที่พึ่งพากิจกรรมชายแดนเป็นหลัก เช่น 7 จังหวัดชายแดนที่มีการค้าและการท่องเที่ยวชายแดนหนาแน่น
- SME ในพื้นที่ชายแดนที่พึ่งพาการค้าและแรงงานข้ามชาติได้รับผลกระทบรุนแรง: การค้าชายแดนบางส่วนคิดเป็นสัดส่วนเล็กของการค้ารวมของประเทศเทียบกับมูลค่าการส่งออกทั้งหมด แต่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นและการจ้างงาน
- ท่องเที่ยวพื้นที่ชายแดนลดลง: กระทบเฉพาะพื้นที่ แต่กระทบต่อรายได้ชุมชนอย่างมีนัยสำคัญ
- แรงงานข้ามชาติ: แม้จะมีการกล่าวถึงการกลับประเทศของแรงงาน แต่การกลับทั้งหมดเป็นไปไม่ได้ ปริมาณแรงงานที่ลดจะกระทบภาคการผลิตและเกษตรกรรมในพื้นที่
มิติความมั่นคงและภูมิรัฐศาสตร์:
- ความขัดแย้งชายแดนเป็นปัจจัยที่เพิ่มความไม่แน่นอนทางการเมืองและความมั่นคง
- การใช้โซเชียลมีเดียและการรณรงค์ชาตินิยมทำให้ความขัดแย้งยากยิ่งขึ้นที่จะยุติอย่างรวดเร็ว
- มีความเสี่ยงของรูปแบบสงครามครึ่งใบ (hybrid warfare) ที่ผสมผสานการโจมตีทางไซเบอร์ การบิดเบือนข้อมูล และการใช้ปัจจัยภายนอกเข้ามาสนับสนุน
บทเรียนสำคัญ: แม้ว่าการปะทะยังไม่นำไปสู่สงครามระดับรัฐ การปะทะชายแดนที่ต่อเนื่องจะเป็นแหล่งความเปราะบางเชิงสังคมและเศรษฐกิจที่ต้องการมาตรการบรรเทาเฉพาะจุด เช่น การชดเชย SMEs ท้องถิ่น การรักษาเสถียรภาพแรงงาน และการดำเนินมาตรการสื่อสารสาธารณะอย่างมีความรับผิดชอบ
3) ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ
ลักษณะ: ความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศและการแตกสลายของขั้วการเมืองนำไปสู่ความไม่แน่นอนต่อการบริหารประเทศ โดยมีความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรี การจัดตั้งรัฐบาลผสมใหม่ หรือแม้กระทั่งการยุบสภา
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ:
- ผลโดยรวมถูกจำกัดหากมีการบริหารงานประจำที่สามารถใช้จ่ายผ่านงบประมาณที่มีอยู่: หากรัฐบาลยังคงสามารถใช้งบประมาณปีปัจจุบัน (เช่น งบปี 68–69 ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ) ผลกระทบต่อการใช้จ่ายของรัฐจะไม่รุนแรงเหมือนสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อต้องรอการจัดตั้งรัฐบาลใหม่จนเป็นเหตุให้การใช้จ่ายหยุดชะงัก
- ความมั่นใจของนักลงทุนภายนอกและภายในอาจได้รับผลกระทบบ้าง แต่มาตรการนโยบายเศรษฐกิจพื้นฐานมักไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อตัวผู้นำเปลี่ยน
- หากสถานการณ์การเมืองยืดเยื้อและนำไปสู่การยุบสภาหรือวิกฤตการบริหาร จะมีความเสี่ยงต่อการดำเนินโครงการลงทุนระยะยาวและการบริหารงบประมาณ
บทวิเคราะห์: ในระดับภาพรวม ผลกระทบทางการเมืองต่อเศรษฐกิจมักจำกัดในกรณีที่โครงสร้างนโยบายเศรษฐกิจยังคงต่อเนื่อง แต่ปัญหาการเมืองที่ยาวนานอาจขัดขวางการปฏิรูปเชิงโครงสร้างที่จำเป็นซึ่งเป็นหัวใจของการป้องกัน “Lost Decade”
4) การปรับตัวไม่ทันของไทยต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก (Loss of Competitiveness / "Lost Decade" Risk)
ต้นกำเนิด/ลักษณะ: ปรากฏการณ์นี้เป็นวิกฤตระยะยาวที่ค่อย ๆ ก่อตัวมาเป็นเวลาหลายทศวรรษตั้งแต่ช่วงหลังสงครามเย็นและการเปิดเสรีการค้าโลก โดยมีปัจจัยสำคัญคือ
- การแข่งขันจากประเทศต้นทุนต่ำในภูมิภาค CLMV (กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม) และจีน ที่สามารถผลิตสินค้าในต้นทุนต่ำกว่า
- การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีและดิจิทัล ที่เพิ่มความสำคัญของนวัตกรรมและทักษะสูง — ซึ่งไทยยังมีช่องว่างด้านการศึกษาและการพัฒนาทักษะ โดยได้คะแนนต่ำในมาตรการประเมินด้านทักษะของ OECD
- การที่สินค้าไทยหลายประเภทเข้าสู่ช่วงหดตัวของวงจรชีวิต (product life cycle) แต่ไม่สามารถยกระดับคุณค่าเพิ่ม (value-added) เพื่อเลื่อนขึ้นไปแข่งขันในตลาดระดับกลาง-บน
ตัวชี้วัดสำคัญที่สะท้อนปัญหา:
- อัตราเติบโตของเศรษฐกิจที่ลดลงต่อเนื่องจากทศวรรษ 1990 (จากราว 10% ต่อปีในอดีต ลงสู่ 5% ในช่วงหลัง และลดเหลือ 4% และ 2.5–2.8% ในทศวรรษล่าสุด)
- หนี้สาธารณะและขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้นจำกัดพื้นที่ของนโยบายที่ดำเนินการเชิงโครงสร้าง
- ขีดความสามารถด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยียังล้าหลัง ทำให้ไม่สามารถผลิตสินค้าที่แข่งขันด้านคุณภาพ เทคโนโลยี หรือเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้เท่าประเทศคู่แข่ง
ความเสี่ยงของ "Lost Decade": หากไทยไม่สามารถกลับมาสร้างการเติบโตเชิงโครงสร้าง (inclusive and productivity-driven growth) ได้ ภายใน 5–10 ปีข้างหน้า ประเทศอาจเผชิญกับสภาวะการเติบโตต่ำต่อเนื่อง (growth trap) เช่นเดียวกับ “Lost Decade” ในญี่ปุ่นหลังวิกฤตสินทรัพย์ในปี 1990 ซึ่งทำให้การเติบโตเฉลี่ยลดลงเหลือเพียงระดับ 1–2% ต่อปี เป็นผลให้การพัฒนาระดับรายได้ต่อหัวหยุดชะงักและความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้น
การประสานกันของวิกฤตทั้งสี่: ทำไมจึงเป็น "Perfect Storm"
แต่ละวิกฤตอาจเป็นปัญหาที่สามารถจัดการได้เมื่อแยกวิเคราะห์ แต่การเกิดขึ้นพร้อมกันและมีการเสริมแรงระหว่างกัน เช่น สงครามภาษีชะลอการเติบโตของการค้าโลก ส่งผลให้รายได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยวลดลง กดดันรายได้ของ SME และครัวเรือนซึ่งมีหนี้สูงอยู่แล้ว ส่งผลต่อเสถียรภาพสังคม และเมื่อผนวกกับความไม่แน่นอนทางการเมือง และความขัดแย้งชายแดนที่ไปกระทบฐานเศรษฐกิจท้องถิ่น ทำให้ความเปราะบางรวมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การปะทะชายแดนเร่งให้ปัญหาสังคมทวีความรุนแรงและมีผลต่อความเชื่อมั่นทางการเมือง ขณะที่ความเปราะบางเชิงโครงสร้างจะทำให้ประเทศมีความยากลำบากในการฟื้นฟู
กล่าวคือ วิวัฒนาการของปัญหาไม่ได้เป็นเพียงการรวมตัวของความเสี่ยง แต่เป็นการผสมผสานซึ่งกันและกัน จนนำไปสู่การกัดกร่อนแบบค่อยเป็นค่อยไป (attrition) ที่ผู้คนและผู้กำหนดนโยบายอาจไม่สังเกตเห็นได้ง่ายจนกระทั่งปัญหาลุกลามมากขึ้น
ตัวอย่างมาตรการและแนวทางรับมือเชิงนโยบาย
การรับมือกับวิกฤตร่วมนี้จำเป็นต้องมีมาตรการทั้งเชิงรับเพื่อบรรเทาความเสียหายในระยะสั้นและเชิงรุกเพื่อป้องกันการสูญเสียขีดความสามารถในระยะยาว โดยแบ่งเป็นกลุ่มมาตรการได้ดังนี้
มาตรการระยะสั้น (Immediate / Short-term)
- การชดเชยและเยียวยา SME และชุมชนชายแดน: ให้ความช่วยเหลือที่ตรงเป้าด้านการเงิน การเข้าถึงสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ การชดเชยการสูญเสียรายได้ และโปรแกรมการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่น
- มาตรการคุ้มกันการค้า: การใช้เครื่องมือเช่น AD และ CVD เพื่อป้องกันการทุ่มตลาด (anti-dumping and countervailing duties) กรณีมีการรุกคืบของสินค้าต้นทุนต่ำที่ทำลายภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศ
- สนับสนุนการกระจายตลาด (diversification): กระตุ้นการส่งออกไปสู่ตลาดใหม่ เช่น ลาตินอเมริกา แอฟริกา ตะวันออกกลาง และกลุ่มประเทศ Global South ผ่านการทำการค้าระดับทวิภาคีหรือพหุภาคี
- คงเสถียรภาพการคลังที่จำเป็น: แม้ต้องใช้มาตรการการคลังเพื่อเยียวยา แต่ต้องมีการบริหารงบประมาณอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้สร้างภาระหนี้ระยะยาวเกินควร
มาตรการระยะกลางถึงยาว (Medium-Long Term)
- เร่งรัดการทำ FTA และข้อตกลงการค้าระดับภูมิภาค: ดำเนินการเจรจา FTA กับสหภาพยุโรป แคนาดา และเร่งประสานงานกับกลุ่ม RCEP/CPTPP และ ASEAN+1 เพื่อเปิดโอกาสให้สินค้าไทยเข้าถึงตลาดที่มีฐานอุปสงค์ใหม่และมาตรฐานสูง
- ยกระดับมาตรฐานสินค้า (standards and compliance): ปรับปรุงมาตรฐานสินค้าให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของสหภาพยุโรปและตลาดพรีเมียม เช่น ข้อกำหนดเรื่องสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน และข้อปฏิบัติทางแรงงาน รวมทั้งเตรียมรับมาตรการ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM)
- นโยบายอุตสาหกรรมเชิงรุก (New Industrial Policy): ส่งเสริมนโยบายอุตสาหกรรมที่มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายโดยคำนึงถึงเทคโนโลยีสะอาด การเพิ่มมูลค่า และการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรม (innovation ecosystem) ผ่านการสนับสนุน R&D, คลัสเตอร์อุตสาหกรรม และแรงจูงใจการลงทุนที่มีเงื่อนไขด้านการสร้างทักษะแรงงาน
- การพัฒนาทักษะและการศึกษา (Upskilling & Education Reform): ปฏิรูปการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการตลาดแรงงานยุคใหม่ เพิ่มการเรียนรู้ทักษะดิจิทัลและ STEM รวมถึงโปรแกรมอัพสกิล/รีสกิล สำหรับแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
- ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่น (Local Economic Revitalization): ส่งเสริมการแปรรูปผลผลิตเกษตรให้เป็นสินค้าเกรดส่งออก ซัพพอร์ตคลังสินค้าและระบบโลจิสติกส์ จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) เพื่อเชื่อมโยงกับระบบห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค
- ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและกายภาพ: เสริมสร้างระบบดิจิทัลพื้นฐาน (broadband, data centre) และโครงข่ายคมนาคมขนส่งเพื่อเชื่อมโยงภายในประเทศและภูมิภาค (เช่น East–West Corridor, connectivity กับจีนผ่าน BRI)
มาตรการเชิงภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคง
- เสถียรภาพชายแดนและการบริหารความขัดแย้ง: ดำเนินการเจรจาทางการทูตและกลไกระหว่างประเทศอย่างสม่ำเสมอ พร้อมมาตรการบรรเทาทางเศรษฐกิจสำหรับพื้นที่ชายแดนและการสื่อสารกับประชาชนเพื่อลดการสื่อสารที่สร้างความเกลียดชัง
- เสริมความสามารถด้านไซเบอร์และป้องกันการบิดเบือนข้อมูล: พัฒนากลไกการตอบโต้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและเพิ่มความสามารถด้านความมั่นคงไซเบอร์เพื่อป้องกันการโจมตีต่อโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจและระบบข้อมูล
- การจัดการบรรยากาศระหว่างมหาอำนาจ: ดำเนินนโยบายต่างประเทศที่รอบคอบเพื่อไม่ให้ไทยกลายเป็นเครื่องมือของการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ กับจีน รักษาความเป็นกลางเชิงยุทธศาสตร์และใช้ศักยภาพภูมิศาสตร์เป็นจุดแข็งเชื่อมโยงกับทั้งสองฝ่ายเมื่อเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ
ตัวอย่างแนวปฏิบัติจากต่างประเทศ: บทเรียนญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญในบริบทของ “Lost Decade” ญี่ปุ่นเผชิญกับการเติบโตลดลงต่อเนื่องหลังวิกฤตสินทรัพย์ในปี 1990 และใช้เวลาหลายทศวรรษในการฟื้นตัว ซึ่งบทเรียนสำคัญที่ไทยสามารถเรียนรู้ได้ประกอบด้วย
- การใช้นโยบายการเงินที่ยืดหยุ่น: ญี่ปุ่นพัฒนาเครื่องมือนโยบายการเงินเช่น อัตราดอกเบี้ยติดลบ และมาตรการอื่น ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ผลลัพธ์ก็แสดงว่าการพึ่งพานโยบายการเงินเพียงอย่างเดียวไม่พอ
- การเปิดรับแรงงานต่างชาติและการเพิ่มสัดส่วนแรงงานหญิง: ญี่ปุ่นค่อย ๆ ปรับนโยบายแรงงานและสังคมเพื่อชดเชยกับสังคมสูงวัย (aging society) การเพิ่มแรงงานหญิงและรับแรงงานต่างชาติเป็นหนึ่งในเครื่องมือ
- การปรับกลไกการศึกษาและพัฒนาทักษะ: ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะตลอดชีวิตและการประยุกต์เทคโนโลยี เพื่อให้แรงงานสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม
บทเรียนเหล่านี้ชี้ว่าการตอบโจทย์เชิงโครงสร้างต้องอาศัยเวลายาวนานและความต่อเนื่องของนโยบาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยต้องเตรียมให้ดีหากต้องการหลีกเลี่ยงชะตากรรมแบบเดียวกัน
จุดแข็งเชิงเปรียบเทียบของไทยที่เป็นโอกาส (Assets to Leverage)
แม้ว่าจะมีความเสี่ยงหลายประการ ประเทศไทยยังคงมีจุดแข็งที่สำคัญ หากรัฐและภาคเอกชนสามารถนำไปต่อยอดได้อย่างเป็นระบบ จะเป็นทรัพยากรสำคัญในการพลิกวิกฤตเป็นโอกาส:
- ภูมิศาสตร์เชิงเชื่อมโยง (Geographic Connectivity): ประเทศไทยตั้งอยู่ในตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์ของภูมิภาค เป็นศูนย์กลางของเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างภูมิภาคต่างๆ เช่น East–West Corridor, การเชื่อมโยงกับจีนผ่าน BRI, และความสัมพันธ์กับอินโดนีเซีย มาเลเซียในเขต GR Triangle
- ศักยภาพด้านอาหารและเกษตรแปรรูป: ไทยมีทรัพยากรด้านอาหารและวัฒนธรรมอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งสามารถยกระดับสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงและแบรนด์ระดับสากลได้
- การท่องเที่ยวและ Soft Power: ประเทศไทยมีความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยวและวัฒนธรรมที่ได้รับการยอมรับระดับโลก ซึ่งเป็นจุดแข็งในการฟื้นฟูและขยายรายได้จากการท่องเที่ยวหากสามารถปรับรูปแบบการท่องเที่ยวให้มีมูลค่าสูงขึ้นและกระจายสู่เมืองรอง
- โครงสร้างอุตสาหกรรมและคลัสเตอร์ที่มีอยู่: แม้ขีดความสามารถด้านนวัตกรรมจะยังไม่สูง แต่ไทยมีฐานการผลิตและอุตสาหกรรมที่สามารถพัฒนาไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มผ่านการนำเทคโนโลยีมาใช้และการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ยุทธศาสตร์เชิงปฏิบัติการ: เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส
การออกแบบยุทธศาสตร์ต้องเป็นการผสมผสานระหว่างการตอบสนองในระยะสั้นและการลงทุนที่เปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว โดยมีหลักการสำคัญคือ “เร็ว ถูก และยั่งยืน” ซึ่งรวมถึง:
- การบริหารความเสี่ยงเชิงการค้าทันที: จัดทำสมุดปฏิบัติการ (playbook) เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของอัตราภาษี รวมทั้งแผนกระจายตลาดและการส่งเสริมการค้าในตลาดใหม่
- การปรับปรุงมาตรฐานเพื่อเข้าถึงตลาดสูง: ลงทุนพัฒนาโครงสร้างรับรองมาตรฐานสินค้า บริการ และการผลิตที่สอดคล้องกับข้อกำหนดผู้ซื้อในยุโรปและตลาดพรีเมียม
- การยกระดับทักษะแรงงาน: โปรแกรมอัพสกิลและรีสกิลระยะสั้นที่ออกแบบร่วมกับภาคเอกชน โดยมีแรงจูงใจเช่น เงินช่วยเหลือการอบรมหรือคูปองการศึกษา เพื่อเร่งการปรับตัวของแรงงาน
- การขับเคลื่อนนโยบายอุตสาหกรรมสีเขียว: ส่งเสริมนโยบายการผลิตที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อตอบสนองมาตรการ CBAM และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดยุโรป
- การฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบชายแดน: มาตรการเฉพาะเพื่อฟื้นฟูร้านค้า SME และสาธารณูปโภคพื้นฐานในพื้นที่ชายแดน พร้อมกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่คำนึงถึงความปลอดภัย
- การพัฒนาโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล: ลงทุนในโครงข่ายถนน ทางรถไฟ และดิจิทัลเพื่อเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานและลดต้นทุนการค้าข้ามพรมแดน
- การสร้างความพร้อมด้านความมั่นคงทางข้อมูล: เสริมความสามารถป้องกันและตอบโต้การบิดเบือนข้อมูล ลดผลกระทบจากโซเชียลมีเดียต่อความขัดแย้งภายใน
แนวทางการปฏิรูปการศึกษาเพื่ออนาคต
การปฏิรูปการศึกษาเป็นหัวใจสำคัญของการฟื้นฟูขีดความสามารถการแข่งขันในระยะยาว แนวทางสำคัญประกอบด้วย
- การส่งเสริมทักษะที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลและเทคโนโลยี: เพิ่มหลักสูตร STEM พร้อมการฝึกงานร่วมกับภาคเอกชน
- การขยายโปรแกรมอัพสกิลและรีสกิลสำหรับแรงงาน: ใช้เงินช่วยเหลือ/คูปองการฝึกอบรมที่ผูกกับผลลัพธ์การจ้างงาน
- การเชื่อมโยงวิชาการกับภาคอุตสาหกรรม: ร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อออกแบบหลักสูตรที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมเป้าหมาย
- การเน้นทักษะนุ่ม (soft skills) และทักษะการบริหารจัดการ: เพื่อให้แรงงานสามารถปรับตัวกับงานที่เปลี่ยนรูปและมีความสามารถในการเป็นผู้ประกอบการ
บทบาทภาคเอกชนและสังคม: การรวมแรงเพื่อการฟื้นตัว
ภาคเอกชนมีบทบาทสำคัญทั้งในฐานะผู้ลงทุนและผู้พัฒนานวัตกรรม การร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา (triple helix) จะช่วยเร่งการปรับตัว ตัวอย่างมาตรการที่ภาคเอกชนสามารถดำเนินการได้รวมถึง:
- การร่วมลงทุนใน R&D และคลัสเตอร์อุตสาหกรรม
- การเปิดรับและฝึกอบรมแรงงานใหม่ด้วยมาตรการสวัสดิการที่ยืดหยุ่น
- การร่วมมือกับหน่วยงานรัฐเพื่อยกระดับมาตรฐานสินค้าและการตรวจสอบซัพพลายเชน
- การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การตลาด และระบบโลจิสติกส์
สรุปเชิงนโยบายและข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติ
เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับความเสี่ยงหลายมิติที่เกิดจากการผสมผสานของปัจจัยภายนอกและภายใน การเรียงลำดับความสำคัญของนโยบายต้องคำนึงถึงทั้งการบรรเทาผลกระทบเฉพาะหน้าและการลงมือปฏิรูปเชิงโครงสร้างเพื่อกลับคืนสู่เส้นทางการเติบโตที่ยั่งยืน ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สำคัญมีดังนี้
- เร่งการดำเนินมาตรการคุ้มครองการค้าและกระจายตลาด: ใช้ AD/CVD เมื่อจำเป็น และเดินหน้าเจรจา FTA กับสหภาพยุโรป แคนาดา รวมทั้งเร่งใช้ประโยชน์จาก RCEP และ CPTPP
- ชดเชย SME และชุมชนชายแดนที่ได้รับผลกระทบ: มาตรการเยียวยาเชิงพื้นที่และการเข้าถึงสินเชื่อที่มีเงื่อนไขพิเศษ
- ลงทุนด้านทักษะและการศึกษาอย่างจริงจัง: คูปองการฝึกอบรม อัพสกิล/รีสกิลที่ผูกกับการจ้างงาน และการปรับหลักสูตรการศึกษาสู่ความต้องการตลาด
- ปรับนโยบายอุตสาหกรรมให้เน้นนวัตกรรมและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: สนับสนุนการผลิตที่ลดคาร์บอน และยกระดับการวิจัยและพัฒนา
- บริหารการคลังด้วยความรับผิดชอบ: ควบคุมการเพิ่มหนี้สาธารณะ พร้อมจัดลำดับความสำคัญของงบลงทุนสาธารณะที่ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสูง
- เสริมความมั่นคงเชิงข้อมูลและการสื่อสารสาธารณะ: ยกระดับความสามารถในการตอบโต้การบิดเบือนข้อมูล และการสื่อสารเชิงสร้างสรรค์เพื่อลดความตึงเครียดทางสังคม
ข้อสังเกตเชิงปิดท้าย
การเผชิญหน้ากับวิกฤตทั้งสี่นี้เป็นการเตือนภัยว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ได้เป็นเพียงผลรวมของปัจจัยด้านอุปสงค์เท่านั้น แต่เป็นผลของความสามารถของประเทศในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของโลก หากไทยสามารถใช้ประโยชน์จากจุดแข็งเชิงภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม อาหาร การท่องเที่ยว และโครงสร้างอุตสาหกรรมที่มีอยู่ ตลอดจนเร่งการปฏิรูปด้านการศึกษา เทคโนโลยี และมาตรฐานการผลิต ประเทศก็ยังมีโอกาสที่จะหลุดพ้นจากกับดักการเติบโตต่ำได้
“วิกฤตอาจเป็นโอกาสหากเราตั้งใจปฏิรูปและลงทุนในสิ่งที่สำคัญ”
แนวทางที่เสนอในบทความนี้ต้องได้รับการแปลเป็นมาตรการปฏิบัติที่มีความต่อเนื่องและการประสานงานระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาสังคม เพื่อให้ไทยไม่ล้ำลึกลงสู่กับดักของการเติบโตต่ำ (Lost Decade) และสามารถสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไป
แผนการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม (Roadmap ระยะ 0–5 ปี)
เพื่อให้ข้อเสนอเชิงนโยบายมีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น ต่อไปนี้เป็นแนวทางการดำเนินงานแบบ Roadmap ระยะสั้นถึงกลาง (0–5 ปี) ที่เสนอ:
- ปีที่ 0–1: มาตรการบรรเทาและแพ็กเกจฟื้นฟู
- ประกาศแผนชดเชย SME และชุมชนชายแดน พร้อมวงเงินและกลไกการเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
- ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อประเมินความเสี่ยงด้านการค้าและแผนกระจายตลาด
- ปรับมาตรการ AD/CVD ตามหลักฐานการทุ่มตลาด
- ปีที่ 1–3: การปฏิรูปเชิงโครงสร้างเริ่มต้น
- เร่งเจรจา FTA กับสหภาพยุโรปและแคนาดา พร้อมแผนยกระดับมาตรฐานการผลิต
- เปิดตัวโปรแกรมอัพสกิล/รีสกิลระดับชาติพร้อมคูปองการฝึกอบรมและความร่วมมือภาคเอกชน
- เริ่มโครงการนำร่องเขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) ในพื้นที่ชายแดนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่น
- ปีที่ 3–5: ขยายและยกระดับ
- ขยายแผน R&D และคลัสเตอร์นวัตกรรมในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อาหารแปรรูป เทคโนโลยีการเกษตร และเทคโนโลยีสะอาด
- ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค
- ดำเนินนโยบายภาษีและแรงจูงใจที่ผูกกับการสร้างมูลค่าเพิ่มและการลดคาร์บอน
บทสรุป
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับการผสมผสานของความเสี่ยงทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งหากไม่จัดการอย่างเป็นระบบและทันเวลา อาจนำไปสู่การชะลอการเติบโตในระยะยาวหรือ “Lost Decade” อย่างไรก็ตาม ประเทศยังมีทรัพยากรและจุดแข็งเชิงเปรียบเทียบที่สามารถนำมาเป็นฐานในการฟื้นฟูได้ หากมีการจัดลำดับความสำคัญของนโยบายที่เหมาะสม การประสานงานระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และการลงทุนที่ต่อเนื่องในด้านทักษะ เทคโนโลยี และมาตรฐานการผลิต
การเลือกหนทางขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้นำและสังคมไทยในการยอมรับการเปลี่ยนแปลง ลงมือปฏิรูปเชิงโครงสร้าง และผนึกกำลังระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสและวางรากฐานการเติบโตที่ยั่งยืนสำหรับอนาคต